เชียงราย – ชนเผ่าอาข่าเมืองพ่อขุนฯ เดินหน้ายกระดับบุคลากรทางการแพทย์พื้นบ้าน ตั้งเป้าเปิดโรงพยาบาลชนเผ่า ช่วยเหลือผู้ป่วยยากจนให้เข้าถึงการรักษามากขึ้น พร้อมทั้งสืบทอดภูมิปัญญาด้านการแพทย์อาข่าที่สั่งสมมานานนับพันปี เผยรัฐบาลญี่ปุ่นสนใจให้ความช่วยเหลือ
นายไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก หรืออาทู่ ปอแฉ่ หัวหน้าโครงการวิจัยเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาการการแพทย์ชนเผ่าอาข่าในพื้นที่เป้าหมาย ระยะที่ 2 ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวในงานประชุมปฏิบัติการเพื่อสังเคราะห์งานวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ประเด็นการแพทย์พื้นบ้าน ที่วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ว่าชนเผ่าอาข่ามีองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอานามัย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้สมุนไพร แร่ธาตุต่างๆ ด้านการทำกายภาพบำบัดในการรักษาโรค และในด้านพิธีกรรม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมานับพันปี
ปัจจุบันแม้จะมีโรงพยาบาล และการแพทย์สมัยใหม่จำนวนมาก แต่ลักษณะพื้นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าอาข่าตั้งอยู่บนดอยสูง ห่างไกลจากตัวเมือง ทำให้ต้องใช้เวลาในการเดินทางเข้ามารักษา ประกอบกับส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ดังนั้น ถึงจะได้รับการรักษาโรคฟรีตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย และค่าอาหาร ก็ล้วนเป็นภาระหนักที่ชนเผ่าจำเป็นต้องแบกรับ
นายไกรสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้โรคบางอย่างต้องใช้เวลาในการรักษาแรมเดือน หรือบางครั้งก็เป็นปี แต่คนไข้ไม่สามารถอยู่ในโรงพยาบาลนานๆ ได้ก็มักจะกลับไปให้พ่อหมอในชนเผ่าช่วย ทั้งวิธีกินยาสมุนไพร บีบนวด เช็ด เป่า ใช้ตะขอสับเลือดเสียออก ทำพิธีกรรม ตามแต่อาการของโรค ปรากฏว่าผู้ป่วยหนักหลายราย เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคกระดูก หายเป็นปกติได้ ปัจจุบันจึงปรากฏว่านอกเหนือจากชนเผ่าแล้ว คนพื้นเมืองที่เจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง ก็เดินทางเข้าไปรักษากับพ่อหมอในชนเผ่า
ตั้งแต่ปี 2547 ชนเผ่าอาข่า ได้มีโอกาสทำวิจัยและรวบรวมหมอชนเผ่า ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆ จึงทราบว่าหากไม่มีการสืบทอดและอนุรักษ์ไว้ วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมของชนเผ่าอาจสูญหายไปได้ เพราะกระแสโลกาภิวัตน์ที่รุกเข้ามา ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจศึกษาและรับมรดกทางภูมิปัญญาทางด้านนี้ แต่หันเหวิถีการดำรงชีวิตแบบพึ่งพาภายนอกมากขึ้น จึงได้ผลักดันสร้างโรงพยาบาลการแพทย์อาข่าขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยทั้งในชนเผ่า และผู้ป่วยทั่วไป
หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการ โดยจัดทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ และศูนย์บริการทางการแพทย์อาข่า 3 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้แก่ ที่ อ.แม่ฟ้าหลวง 1 แห่ง อ.แม่สรวย 1 แห่ง และ อ.เมือง 1 แห่ง พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการสืบสานทั้งในโรงเรียน และชุมชน ด้วยการส่งเสริมให้ปลูกพืชสมุนไพรไว้ใช้ภายในบ้าน พร้อมทั้งจัดทำเป็นหลักสูตรวิชาเกี่ยวกับหมอชนเผ่า และโรคต่างๆ ไว้สอนในโรงเรียน เด็กและชาวบ้านบนดอยสูงจะได้มีความรู้ และสามารถรักษาตัวเอง หรือปฐมพยาบาลโรคอย่างถูกวิธี ก่อนถึงมือหมอ
“ความต้องการจริงๆ คือ อยากทำเป็นโรงพยาบาลชุมชน ช่วยให้ชาวบ้านที่เจ็บป่วย มีที่รักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเดินทางไกล แต่เนื่องจากต้องดำเนินการซับซ้อนหลายขั้นตอน ในเบื้องต้นคงต้องยกระดับจากศูนย์บริการทางการแพทย์อาข่า ที่มีอยู่แล้วขึ้นมาก่อน ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเยาวชนอาข่าหลายคน เข้าไปศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย เพื่อยกระดับความรู้ ให้สามารถสอบใบผู้ประกอบโรคศิลป์ เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้ออกมาบริหารงานโรงพยาบาลได้ ส่วนทุนในการจัดตั้งโรงพยาบาลนั้นทางสถานทูตญี่ปุ่นสนใจให้ความสนับสนุน แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียด เพราะต้องรอความพร้อมของบุคลากรก่อน”
นายไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก หรืออาทู่ ปอแฉ่ หัวหน้าโครงการวิจัยเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาการการแพทย์ชนเผ่าอาข่าในพื้นที่เป้าหมาย ระยะที่ 2 ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวในงานประชุมปฏิบัติการเพื่อสังเคราะห์งานวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ประเด็นการแพทย์พื้นบ้าน ที่วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ว่าชนเผ่าอาข่ามีองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอานามัย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้สมุนไพร แร่ธาตุต่างๆ ด้านการทำกายภาพบำบัดในการรักษาโรค และในด้านพิธีกรรม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมานับพันปี
ปัจจุบันแม้จะมีโรงพยาบาล และการแพทย์สมัยใหม่จำนวนมาก แต่ลักษณะพื้นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าอาข่าตั้งอยู่บนดอยสูง ห่างไกลจากตัวเมือง ทำให้ต้องใช้เวลาในการเดินทางเข้ามารักษา ประกอบกับส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ดังนั้น ถึงจะได้รับการรักษาโรคฟรีตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย และค่าอาหาร ก็ล้วนเป็นภาระหนักที่ชนเผ่าจำเป็นต้องแบกรับ
นายไกรสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้โรคบางอย่างต้องใช้เวลาในการรักษาแรมเดือน หรือบางครั้งก็เป็นปี แต่คนไข้ไม่สามารถอยู่ในโรงพยาบาลนานๆ ได้ก็มักจะกลับไปให้พ่อหมอในชนเผ่าช่วย ทั้งวิธีกินยาสมุนไพร บีบนวด เช็ด เป่า ใช้ตะขอสับเลือดเสียออก ทำพิธีกรรม ตามแต่อาการของโรค ปรากฏว่าผู้ป่วยหนักหลายราย เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคกระดูก หายเป็นปกติได้ ปัจจุบันจึงปรากฏว่านอกเหนือจากชนเผ่าแล้ว คนพื้นเมืองที่เจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง ก็เดินทางเข้าไปรักษากับพ่อหมอในชนเผ่า
ตั้งแต่ปี 2547 ชนเผ่าอาข่า ได้มีโอกาสทำวิจัยและรวบรวมหมอชนเผ่า ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆ จึงทราบว่าหากไม่มีการสืบทอดและอนุรักษ์ไว้ วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมของชนเผ่าอาจสูญหายไปได้ เพราะกระแสโลกาภิวัตน์ที่รุกเข้ามา ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจศึกษาและรับมรดกทางภูมิปัญญาทางด้านนี้ แต่หันเหวิถีการดำรงชีวิตแบบพึ่งพาภายนอกมากขึ้น จึงได้ผลักดันสร้างโรงพยาบาลการแพทย์อาข่าขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยทั้งในชนเผ่า และผู้ป่วยทั่วไป
หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการ โดยจัดทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ และศูนย์บริการทางการแพทย์อาข่า 3 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้แก่ ที่ อ.แม่ฟ้าหลวง 1 แห่ง อ.แม่สรวย 1 แห่ง และ อ.เมือง 1 แห่ง พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการสืบสานทั้งในโรงเรียน และชุมชน ด้วยการส่งเสริมให้ปลูกพืชสมุนไพรไว้ใช้ภายในบ้าน พร้อมทั้งจัดทำเป็นหลักสูตรวิชาเกี่ยวกับหมอชนเผ่า และโรคต่างๆ ไว้สอนในโรงเรียน เด็กและชาวบ้านบนดอยสูงจะได้มีความรู้ และสามารถรักษาตัวเอง หรือปฐมพยาบาลโรคอย่างถูกวิธี ก่อนถึงมือหมอ
“ความต้องการจริงๆ คือ อยากทำเป็นโรงพยาบาลชุมชน ช่วยให้ชาวบ้านที่เจ็บป่วย มีที่รักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเดินทางไกล แต่เนื่องจากต้องดำเนินการซับซ้อนหลายขั้นตอน ในเบื้องต้นคงต้องยกระดับจากศูนย์บริการทางการแพทย์อาข่า ที่มีอยู่แล้วขึ้นมาก่อน ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเยาวชนอาข่าหลายคน เข้าไปศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย เพื่อยกระดับความรู้ ให้สามารถสอบใบผู้ประกอบโรคศิลป์ เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้ออกมาบริหารงานโรงพยาบาลได้ ส่วนทุนในการจัดตั้งโรงพยาบาลนั้นทางสถานทูตญี่ปุ่นสนใจให้ความสนับสนุน แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียด เพราะต้องรอความพร้อมของบุคลากรก่อน”