อุบลราชธานี - หอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี ประสานเสียง ททท.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขต 2 ยันความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าและการท่องเที่ยวด้านภาคอีสานใต้ โดยเฉพาะการค้าระหว่างไทย-ลาวมากนัก โดยยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวต่อเนื่อง เพราะมีการปรับแผนท่องเที่ยวในประเทศและไปลาวมาหลายเดือนแล้ว
นายนพรัตน์ กอกหวาน ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขต 2 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาที่เกิดการยิงปะทะกันขึ้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษ ว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวตามแนวชายแดนอีสานใต้เท่าใดนัก เพราะเรามีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติหลายแห่ง อีกทั้งที่ผ่านมาเราก็ได้มีการปรับโปรแกรมการท่องเที่ยวตั้งแต่กลางปีแล้วและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็รับทราบว่าทางการทั้ง 2 ประเทศไม่อนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยวชมเขาพระวิหาร ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และการเข้าไปเที่ยวชมปราสาทพระวิหาร ส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย
สำหรับการประชุมสัมมนาของบริษัทห้างร้าน หรือหน่วยงานรัฐก็ยังเป็นไปตามปกติ เพราะแผนการท่องเที่ยวที่ปรับใหม่นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวตามจังหวัดใกล้เคียง และประเทศลาวเข้ามาแทน ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้อย่างดี และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป จังหวัดตามภาคอีสานตอนล่างจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวประจำปี คือ การท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติ ชมทุ่งดอกไม้ที่ป่าดงนาทาม ชมภาพเขียนประวัติศาสตร์อายุ 4,000 ปี และร่วมรับตะวันใหม่ปี 2552 ที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม รวมทั้งการเที่ยวชมแหล่งโบราณคดีและเล่นน้ำตกที่อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี
“โดยเป้าการท่องเที่ยวปี 2552 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 7.5 โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากว่า 1.6 ล้านคนและมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 3,900 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 12%” นายนพรัตน์ กล่าว
นายนพรัตน์ กล่าวอีกว่า เฉพาะเทศกาลท่องเที่ยวชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบั้งไฟพญานาคที่ผ่านมาที่บ้านตามุย อ.โขงเจียม ในเทศกาลวันออกพรรษาเพียงวันเดียว มีนักท่องเที่ยวแห่มาชมกว่า 20,000 คน ทำให้มีเงินจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไหลสะพัดในพื้นที่กว่า 8 ล้านบาท
นายชวลิต องควานิช ประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า สถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นทางด้าน จ.ศรีสะเกษนั้น ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทย-ลาวทางด้าน จ.อุบลราชธานี น้อยมาก เนื่องจากมีด่านท้องถิ่นที่เป็นด่านการค้าระหว่างกันเพียงแห่งเดียวที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน ซึ่งมีมูลค่าการค้าต่อกันไม่มากเท่าไหร่ แต่สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เนื่องจากอดีตบริษัททัวร์ในจังหวัดมีการจัดโปรมแกรมท่องเที่ยว จ.อุบลราชธานี-ปราสาทพระวิหาร-นครวัดนครธม ซึ่งต้องยกเลิกไปเลย เพราะนักท่องเที่ยวไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย และทำให้แผนพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว จ.อุบลราชธานี-พนมเปญ-โฮจิมินห์ซิตี ซึ่งเคยมีการจัดเที่ยวต้องหยุดชะงักไป แต่ก็ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวระหว่างไทย-ลาวแทน ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากการเดินทางไปท่องเที่ยวมีความปลอดภัยและสะดวกกว่าเส้นทางกัมพูชา
“ทั้งนี้ เพราะนักท่องเที่ยวสามารถนำรถแล่นไปมาหากันได้เลย โดยไม่ต้องขอออกวีซ่าเหมือนกับไปเที่ยวในประเทศกัมพูชา ทำให้การค้าระหว่างชายแดนไทย-ลาวปีนี้มีมูลค่าส่งออก-นำเข้ากว่า 4,600 ล้านบาท โดยไทยได้เปรียบดุลการค้ากับลาวกว่า 3,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบการท่องเที่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา ขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ เพราะทุกอย่างหยุดหมด” นายชวลิต กล่าว