เชียงราย - ธ.ก.ส.ชร.คาด มีลูกค้าได้รับผลกระทบจากอุทกภัยถึง 22,000 ราย ขอเลื่อนชำระหนี้ไม่เสียดอก พร้อมเปิดให้แจ้งความประสงค์ขอเลื่อนการชำระหนี้ได้ 1 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย ส่วน ปภ.สรุปความเสียหาย 4 อำเภอ
นายสมมาตร บุปผะโก ผู้อำนวยการสำนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ตามที่ นายธีระพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เดินทางมาตรวจพื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายและให้นโยบาย ว่า หากลูกค้าของ ธ.ก.ส.ที่ได้รับผลกระทบมากเกิน 50% ของผลผลิต สามารถร้องงดจ่ายหนี้ในปีนี้ไปก่อนได้ โดยธนาคารจะไม่คิดดอกเบี้ยแต่ประการใด
ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ทราบว่า อุทกภัยที่ผ่านมา อำเภอที่เสียหายหนัก คือ อ.เชียงของ,เวียงแก่น และ อ.เชียงแสน เท่าที่ลงพื้นที่พบว่าหลายรายพื้นที่ไร่ข้าวโพดเสียหายเกิน 50-100% จำนวนมาก และเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการงดเว้นการจ่ายหนี้ในปีนี้
เกษตรกรสามารถเข้ายื่นความประสงค์ขอผัดผ่อนการจ่ายหนี้ในปีนี้ได้ที่ ธ.ก.ส.ในแต่ละอำเภอ ส่วนผู้ที่ประสงค์ต้องการจะกู้เงินเพิ่มเพื่อมาฟื้นฟูการเกษตรที่เสียหาย ก็ขอให้เข้ามาแจ้งความประสงค์ได้ ซึ่งจะมีการพิจารณาช่วยเหลือเต็มที่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยเข้ามาแจ้งความประสงค์ โดยคาดว่าในจังหวัดเชียงงราย มีเกษตรกรที่ใช้บริการของ ธ.ก.ส.ราว 110,000 ราย และน่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบราว 20% หรือ ราว 22,000 ราย
ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานความเสียหายของอุทกภัยระหว่างวันที่ 10-18 สิงหาคม 2551 ว่า เกิดความเสียหาย 4 อำเภอ คือ อ.เชียงแสน,อ.เชียงของ, อ.เวียงแก่น, อ.แม่จัน
แยกเป็น อ.เชียงแสน มีประชาชนเดือดร้อนและได้รับผลกระทบที่ ต.บ้านแซว, ต.ศรีดอนมูล,ต.เวียง, ต.แม่เงิน, ต.โยนก ถนนสายเชียงแสน-เชียงของ กม.49+270-กม.50+500 และ กม.39+300-กม.41+800 เสียหายจากน้ำกัดเซาะ
อ.เชียงของ มีประชาชนได้รับผลกระทบที่ ต.สถาน, ต.ศรีดอนชัย, ต.ครึ่ง, ต.ห้วยซ้อ, ต.บุญเรือง, ต.ริมโขง, ต.เวียง
อ.เวียงแก่น มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน ที่ ต.หล่ายงาว, ต.ท่าข้าม, ต.ปอ
อ.แม่จัน ประชาขนเดือดร้อนที่ ต.ป่าตึง และ ต.ท่าข้าวเปลือก ซึ่งมีการเร่งเข้าไปให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ พร้อมสำรวจความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือตามระเบียบต่อไป
เบื้องต้นแต่ละอำเภอมีคณะกรรมการในการพิจารณาช่วยเหลือวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่หากเสียหายเกิน 1 ล้าน ให้เสนอไปยังคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งมีงบ 50 ล้านบาท แต่หากเกินกว่านี้ให้เสนอไปยังกระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีงบระดับ 100 ล้านบาท