ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเผยสถานการณ์การละเมิดลิขสิทธิ์ในไทยยังรุนแรง ถูกสหรัฐฯ จัดอันดับให้เป็นประเทศต้องจับตามองเป็นพิเศษเหมือนเดิม ระบุเชียงใหม่มีพื้นที่ต้องเฝ้าจับตามมองพิเศษ 4 แห่ง จากทั้งหมด 22 แห่งทั่วประเทศ ชี้ “ไนท์บาซาร์” หนักสุด
วันนี้ (22 ก.ค.51) นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเรื่อง “ทรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงเขตการค้าเสรี:โอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย” โดยมีผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือเข้าร่วมประมาณ 100 คนที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ จังหวัดเชียงใหม่
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวถึงสถานการณ์การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทยว่า ปัจจุบันยอมรับว่ายังคงมีการละเมิดในระดับที่รุนแรง โดยเหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องมาจากผู้กระทำความผิดมีการคิดหารูปแบบวิธีการหลบเลี่ยงใหม่ๆ ออกมาเสมอ ทำให้ยากต่อการปราบปราม ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงได้รับการจัดอันดับจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้มีการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นมาแล้ว เพื่อทำหน้าที่ในการป้องปรามและปราบปรามโดยเฉพาะ คาดว่าจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ภายใน 1 เดือน เพราะเหลือเพียงการรออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
สำหรับจุดที่พบว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ในระดับที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษนั้น มีทั้งสิ้น 22 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีจุดที่ต้องจับตามมองเป็นพิเศษ 4 แห่ง ได้แก่ ไนท์บาซาร์ ตลาดรินคำ ไอคอนสแควร์ และคอมพิวเตอร์พลาซ่า
โดยเฉพาะย่านไนท์บาซาร์นั้น ยอมรับว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างแพร่หลาย ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้มากนัก เนื่องจากไม่มีเจ้าทุกข์หรือผู้เสียร่วมไปกับเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งก็มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อยู่
ส่วนสถิติการจับกุมผู้กระทำผิดคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2551 สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 2,059 คดี ของกลางทั้งสิ้นประมาณ 1.4 ล้านชิ้น ขณะที่ตลอดปี 2550 ที่ผ่านมา สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 7,118 คดี ของกลางประมาณ 3.7 ล้านชิ้น ซึ่งจากแนวโน้มการจับกุมพบว่า จำนวนคดีลดลง แต่จำนวนของกลางเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะชี้ให้เห็นว่าสามารถจับกุมผู้กระทำผิดรายใหญ่ๆ ได้มากขึ้น
วันนี้ (22 ก.ค.51) นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเรื่อง “ทรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงเขตการค้าเสรี:โอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย” โดยมีผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือเข้าร่วมประมาณ 100 คนที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ จังหวัดเชียงใหม่
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวถึงสถานการณ์การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทยว่า ปัจจุบันยอมรับว่ายังคงมีการละเมิดในระดับที่รุนแรง โดยเหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องมาจากผู้กระทำความผิดมีการคิดหารูปแบบวิธีการหลบเลี่ยงใหม่ๆ ออกมาเสมอ ทำให้ยากต่อการปราบปราม ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงได้รับการจัดอันดับจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้มีการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นมาแล้ว เพื่อทำหน้าที่ในการป้องปรามและปราบปรามโดยเฉพาะ คาดว่าจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ภายใน 1 เดือน เพราะเหลือเพียงการรออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
สำหรับจุดที่พบว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ในระดับที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษนั้น มีทั้งสิ้น 22 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีจุดที่ต้องจับตามมองเป็นพิเศษ 4 แห่ง ได้แก่ ไนท์บาซาร์ ตลาดรินคำ ไอคอนสแควร์ และคอมพิวเตอร์พลาซ่า
โดยเฉพาะย่านไนท์บาซาร์นั้น ยอมรับว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างแพร่หลาย ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้มากนัก เนื่องจากไม่มีเจ้าทุกข์หรือผู้เสียร่วมไปกับเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งก็มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อยู่
ส่วนสถิติการจับกุมผู้กระทำผิดคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2551 สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 2,059 คดี ของกลางทั้งสิ้นประมาณ 1.4 ล้านชิ้น ขณะที่ตลอดปี 2550 ที่ผ่านมา สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 7,118 คดี ของกลางประมาณ 3.7 ล้านชิ้น ซึ่งจากแนวโน้มการจับกุมพบว่า จำนวนคดีลดลง แต่จำนวนของกลางเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะชี้ให้เห็นว่าสามารถจับกุมผู้กระทำผิดรายใหญ่ๆ ได้มากขึ้น
