ศูนย์ข่าวศรีราชา- กลุ่มคนทำงานด้านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ในภาคตะวันออกเชื่อการเสีย “ปราสาทพระวิหาร” ให้กัมพูชา ไม่ชอบมาพากลและมีผลประโยชน์เบื้องลึกแอบแฝง เพราะรมว.ต่างประเทศ แอบทำสัญญาลงนามร่วมไปก่อนถามความคิดเห็นประชาชน หวั่นอนาคตอาจเสียพื้นที่ทางทะเลด้านภาคตะวันออก ชี้กระทำการถือวิสาสะอาจเป็นจุดจบให้รัฐบาล “จมูกหมู” พ้นตำแหน่งดูแลบ้านเมือง เหน็บรัฐบาลไม่มีจิตสำนึกรักชาติควรไปหาหนัง “บางระจัน-ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” มาดู
นายอริยวัฒน์ น่วมสวัสดิ์ ประชาสัมพันธ์ ชมรมสื่อมวลชนเมืองพัทยา ในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์พัทยาเมล์ ให้ทัศนะเกี่ยวกับกรณีที่ประเทศไทยได้เสียตัวปราสาทพระวิหารแก่ประเทศกัมพูชา โดยคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกมีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาไปแล้วว่า ในฐานะคนหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง มีมุมมองจากติดตามข่าวมาอย่างต่อเนื่องเรื่องดังกล่าว อาจเพราะว่ารัฐบาลไทยชุดนี้น่าจะมีผลประโยชน์เบื้องลึกแอบแฝง แต่อย่างไรก็ต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรมในการตรวจสอบถึงจะชี้ชัดได้
ทั้งนี้ หากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าทางขึ้นเขาพระวิหารอยู่ฝั่งเขตแดนไทยอย่างชัดเจน ซึ่งในอดีตกาลเชื่อว่าเขาพระวิหาร น่าจะเป็นสมบัติของประเทศไทย แต่เมื่อเวลา เปลี่ยนแปลงสภาพอาณาเขตการปกครองอาจเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดคุยมายาวนานจนกลายเป็นจิตวิญญาณของคนไทยไปแล้ว ซึ่งคงไม่มีใครอยากจะสูญเสียไปอย่างแน่นอน
ด้าน นายมาโนช สนองสุข นายกสมาคมนักข่าวระยอง แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ด้วยความรู้สึกของคนไทยคนหนึ่งรับไม่ได้ที่เราเสียดินแดนเขาพระวิหารไป ถึงแม้จะเป็นแค่ตัวปราสาทก็ไม่อยากให้มีการแบ่งแยกดินแดนเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ในส่วนลึกแล้วก็รับไม่ได้ เพราะเห็นได้ชัดว่าทางขึ้นปราสาทพระวิหารอยู่ฝั่งดินแดนไทย ซึ่งในอดีตก็น่าจะเป็นของประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ด้าน นายจักรกฤชณ์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชามติ จ.ตราด ให้ข้อมูลว่า ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลานาน ในฐานะสื่อมวลชนและเป็นลูกหลานตราดคนหนึ่ง มีมุมมองว่าประเทศมหาอำนาจคือฝรั่งเศสในสมัยนั้น ไม่มีความชอบธรรม และชอบรังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า จนทำให้เราเสียสมบัติอันล้ำค่าไป
ทั้งนี้ การทำแผนที่ในสมัยนั้น หรือประมาณ 102 ปีก่อน ฝรั่งเศสมีอำนาจมากในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งได้มีการเขียนแผนระหว่างทำการปิดอ่าวภาคตะวันออกในสมัยนั้น ที่ไม่ใช่แค่รุกล้ำบริเวณเขาพระวิหาร แต่รุกล้ำรวมถึงเกาะกูดและชายฝั่งของจังหวัดตราดด้วย หากในอนาคตฝรั่งเศสกับกัมพูชา ร่วมมือกันฟ้องร้องศาลโลกเพื่อของยึดดินแดนบริเวณดังกล่าวแล้ว เราอาจเสียพื้นที่บริเวณปากน้ำ ฝั่งทะเลภาคตะวันออกของจังหวัดตราดไปทั้งหมด
ในฐานะประชาชนคนตราดคนหนึ่งและได้ทำงานด้านสื่อสารมวลชนด้วยจิตวิญญาณคงลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านเรื่องดังกล่าวแบบหัวชนฝาอย่างแน่นอน
ขณะที่ นายโต (สงวนชื่อ-นามสกุล) ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งในเขตอำเภอเมือง จ.ชลบุรี เผยว่า รัฐบาลชุดนี้สร้างความชอบมาพากล มีการทำการอย่างรีบร้อน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปลงนามทำสัญญาร่วมกับประเทศกัมพูชาด้วยตนเอง แต่ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดกลับมาอธิบายคนไทย
ตามความเป็นจริงแล้ว น่าจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่าจะมีผลกระทบต่างๆ อย่างไร แล้วเดินทางไปภายหลังจากมีการพูดคุยในที่ประชุม ครม. ไม่ใช่ลงนามไปก่อนแล้วจะมาขอมติอนุมัติความเห็นชอบจาก ครม. ซึ่งการลงนามร่วมดังกล่าวอาจมีการให้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรืออาจคาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรคำนึงถึงความเหมาะสม ความชอบธรรม ซึ่งถ้าตัวเองไม่มีความบริสุทธิ์พอก็ไม่สมควรจะนั่งตำแหน่งใหญ่โต ซึ่งขณะนี้เองรัฐบาลเจอมรสุมต่างๆ รอบด้านแต่กลับให้ความสำคัญในเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งดูว่ารีบร้อนเกินไป ประกอบกับประชาชนในประเทศเองที่เจอทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ก็ยังไม่มีการแก้ไข แต่กลับสร้างปัญหาเรื่องเขาพระวิหารขึ้นมาอีก เหมือนเป็นการทำร้ายความรู้สึกของประชาชนทั้งประเทศจนบอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงมองดูว่าน่าจะมีเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง และหากเป็นอย่างนั้นจริง ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารอาจเป็นจุดจบของรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นได้
“ขณะนี้รัฐบาลอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะมีปัญหาหลากหลายภายในประเทศ และปัญหาที่ประชาชนกำลังได้รับผลกระทบก็น่าจะเป็นปัญหาแรกๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข ก่อนจะไปแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ เปรียบเหมือนปัญหาภายในบ้านของตัวเองที่ยังแก้ไม่ได้แล้วจะไปแก้ปัญหานอกบ้านได้อย่างไร”
ด้าน นายไพบูลย์ เสริมสาตร์ (โต บางแค) นายกสมาคมสื่อมวลชนศรีราชา ในฐานะผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น “ศรีราชาโพสต์” กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน เพราะคนไทยและผู้นำประเทศขาดจิตสำนึก ในการรักษาทรัพย์สมบัติของชาติ และมัวแต่ไปกังวลถึงเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากจนเกินไป จนเราต้องเสียตัวปราสาทพระวิหารในที่สุด
ที่ผ่านมารัฐบาลกี่ยุคกี่สมัย มักจะให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และเรื่องของความมั่นคงของประเทศมากจนเกินไป โดยไม่ได้คิดถึงบรรพบุรุษไทยว่ากว่าจะได้ผืนแผ่นดินในแต่ละแห่งต้องเหนื่อยยากมากขนาดไหน ไม่ได้ให้ความสำคัญของทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษไทยอุทิศชีวิตรักษาไว้ และขาดความหวงแหนในเรื่องดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ รัฐบาลหรือผู้นำประเทศมักมองและเป็นห่วงในเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตน จนทำให้เกิดปัญหามาคาราซังมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน ก็ต้องเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นสมบัติของใคร แต่กัมพูชาทำเหมือนกับไทยต้องอ่อนกว่าจะเอาเองเสียทั้งหมด รัฐบาลไทยก็อ่อนก็ยอมให้เขาทุกอย่าง เพียงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ ที่ผ่านมาเรามีโอกาสแล้วแต่เราไม่ทำ
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า อยากให้มองไปที่คนจังหวัดศรีสะเกษ ถึงแม้จะเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ แต่ทุกคนก็ต่อสู้หวงแหนทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษอย่างเข้มแข็งแม้ว่าจะเป็นเพียงพลังเล็กน้อยก็ตาม แตกต่างจากคนไทยคนอื่นที่มัวแต่นิ่งเฉย เพราะส่วนใหญ่มองแต่เพียงว่า “ไม่ใช่เรื่องของกู” รับรู้ปัญหาแต่ไม่พูดถึงและไม่คิดจะหาทางแก้ไข รวมถึงรัฐบาลที่โอนอ่อนและตกเป็นทาสของผลประโยชน์ จึงอยากแนะนำให้ไปหาภาพยนตร์เรื่องบางระจัน หรือตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาดู เพื่อจะให้เกิดความรู้สึกชาติ รักสมบัติของบรรพบุรุษขึ้นมาบ้าง