ศรีสะเกษ - สมัชชาประชาชนฯศรีสะเกษหนุนกัมพูชาปิดยาว “เขาพระวิหาร” ชี้ เป็นผลดีต่อไทยในระยะยาว เชื่ออีกไม่นานชาวกัมพูชาและเจ้าหน้าที่เชิงเขาพระวิหารจะประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค เหตุต้องซื้อจากฝั่งไทย ที่ “ผามออีแดง” เผยเครือข่ายพันธมิตรฯและชาวศรีสะเกษมีมติเคลื่อนพลชุมนุมใหญ่ทวงคืนเขาพระวิหาร-ขับไล่ชุมชนชาวกัมพูชาออกจากเขตแดนไทย 27 มิ.ย.นี้ ซัดผู้ว่าฯ-แก๊ง ส.ส.ศรีสะเกษ “รักชาติแต่ปาก”
วันนี้ (26 มิ.ย.) นายอรุณศักดิ์ โอชารส ประธานสมัชชาประชาชนจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า การที่ขณะนี้ประเทศกัมพูชาได้สั่งปิดด่านผ่านแดนประตูทางขึ้นเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ อย่างไม่มีกำหนดเพราะไม่พอใจที่ประชาชนชาวไทยเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องทวงคืนเขาพระวิหารและผลักดันขับไล่ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเขตแดนไทยเข้ามาตั้งชุมชนสร้างบ้านเรือน ร้านค้า วัดและถนน อยู่บริเวณเชิงเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น
รัฐบาลไทยและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไม่ควรที่จะไปเจรจาเรียกร้องให้เปิดประตูเขาพระวิหารเพื่อเพิ่มความสำคัญให้ฝ่ายกัมพูชามากจนเกินไป เหมือนกับพฤติกรรมของ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ทำตัวเสมือนเป็นทนายความแก้ต่างให้กับกัมพูชาอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ พวกเราเห็นว่าควรที่จะให้ประเทศกัมพูชาปิดประตูทางขึ้นเขาพระวิหารตลอดไป เพราะอีกไม่นานประชาชนชาวกัมพูชาและเจ้าหน้าที่ของกัมพูชาที่มาปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ในพื้นที่เชิงเขาพระวิหาร ฝั่งกัมพูชา จะประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค เนื่องจากเครื่องอุปโภคบริโภคทุกอย่างล้วนมาจากพ่อค้าแม่ค้าคนไทยที่นำไปขายให้ที่บริเวณผามออีแดง ด้านฝั่งประเทศไทยทั้งสิ้น
“การที่กัมพูชาปิดประตูเขาพระวิหารแม้จะทำให้แม่ค้าชาวไทยเสียรายได้บ้าง แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติส่วนรวมและคนไทยทุกคนในระยะยาว” นายอรุณศักดิ์ กล่าว
นายอรุณศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ สมัชชาประชาชน จ.ศรีสะเกษ และองค์กรเครือข่ายพันธมิตรฯ รวมทั้งประชาชนชาวศรีสะเกษได้มีมติแล้วว่า จะร่วมกันเดินทางไปชุมนุมใหญ่ที่บริเวณเชิงเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อทวงคืนเขาพระวิหาร และขับไล่ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเขตแดนไทยออกไปจากเชิงเขาพระวิหาร พร้อมจะทำการยื่นหนังสือประท้วงและเรียกร้อง เป็นภาษากัมพูชาให้กับรัฐบาลกัมพูชาและประชาชนชาวกัมพูชาได้รับทราบด้วย
สำหรับกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารนั้น พวกเราเห็นว่าไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนแต่อย่างใดเพราะตามแผนที่ไทยที่ยึดสันปันน้ำ และหน้าผาเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามหลักสากลแล้วบริเวณดังกล่าวเป็นเขตแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน ซึ่งบริเวณเป้ยตาดีบนเขาพระวิหาร นั้นเป็นแหล่งต้นน้ำที่ไหลลงไปสู่ห้วยขะยูงลำห้วยสายสำคัญของ จ.ศรีสะเกษ ดังนั้น การยึดเอาสันปันนี้ตามหลักสากลของการแบ่งเขตแดนจึงถือได้ว่า เขาพระวิหารเป็นของไทย
ส่วนการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และ ส.ส.ศรีสะเกษ ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวช่วยชาวศรีสะเกษในการทวงคืนเขาพระวิหารและผลักดันชาวกัมพูชาให้ออกไปจากเขตแดนไทยนั้น ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่กรณีที่พากันนิ่งเฉยไม่ออกมาขับเคลื่อนร่วมกับชาวศรีสะเกษนั้นพวกเราเห็นว่าเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่า “รักชาติแต่ปาก” ซึ่งประชาชนชาวศรีสะเกษจะต้องร่วมกันพิจารณาทบทวนในเรื่องนี้ต่อไป