“ชาวเชียงคาน” ค้านรัฐให้สัมปทานเหมืองแร่เหล็ก - ชี้ทับที่ทำกินทั้งเกิดมลพิษ

เลย - ชาวบ้านหัวแก่ง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย กว่า 100 คนชุมนุมค้านให้สัมปทานนายทุนทำเหมืองแร่เหล็ก พบเขตสัมปทานทับทำกินชาวบ้านกว่า 160 ไร่หวั่นเกิดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมและเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของชาวบ้าน ร้องหน่วยงานรัฐระงับสัมปทานจนกว่าจะมีกระบวนการศึกษาและประเมินผลกระทบด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน

วันนี้ (21 พ.ค.) ชาวบ้านหัวแก่ง ต.หาดทรายขาว อ.เชียงคาน จ.เลยกว่า 100 คน ประกอบด้วยเด็กนักเรียน ผู้นำชุมชนสมาชิกสภา อบต.ได้ชุมนุมเดินขบวนไปตามถนนในหมู่บ้าน เพื่อประท้วงหน่วยงานราชการที่อนุญาตให้บริษัทเอกชนเข้ามาขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เหล็ก ทับที่ดินทำกินกว่า 160 ไร่และหวั่นเกรงต่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผลกระทบทางสังคม

นายบุญแรง สั้นจันดา ตัวแทนชาวบ้าน กล่าวว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านทราบว่าจะมีกลุ่มนายทุนชาวจีนร่วมกับนายทุนไทยเข้ามาขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เหล็กในพื้นที่ใกล้หมู่บ้าน แต่ไม่ทราบรายละเอียด และเรื่องราวเงียบหายไป มารู้อีกทีเมื่อพ้นกำหนด 20 วันหลังจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดออกประกาศให้ประชาชนคัดค้าน

โดยพื้นที่ที่ได้รับประทานบัตรพบว่า ทับซ้อนที่ดินชาวบ้านที่ได้ทำกินต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เนื้อที่กว่า 160 ไร่ โดยที่ดินผืนนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่ราชการผ่อนผันให้ราษฎรทำกินได้ ทั้งได้เสียภาษีดอกหญ้าเป็นประทุกปี เหตุที่ชาวบ้านไม่ทราบว่ามีการขออนุญาตประทานบัตร เพราะหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไม่เคยนำมาปิดประกาศหรือประกาศเสียงตามสายให้ชาวบ้านได้ทราบ

ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านได้ทำหนังสือคัดค้านไปยังนายอำเภอเชียงคาน เพราะการขอประทานบัตรครั้งนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเวทีประชาคมหมู่บ้าน แต่เรื่องกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ

นายบุญแรง กล่าวอีกว่า เหตุที่ต้องคัดค้าน เพราะชาวบ้านเกรงว่าจะไม่มีที่ดินทำกินอีกต่อไป ทั้งกังวลว่าจะเกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพที่จะเกิดจากการทำเหมืองแร่เหล็กดังกล่าว ดินบนเหมืองจะไหลลงมาทับที่นาชาวบ้าน อีกทั้งอันตรายที่เกิดจากการบรรทุกแร่บนท้องถนนและทำให้ถนนชำรุดด้วย

กรณีการสัมปทานเหมือแร่เหล็กมีบทเรียนมาแล้ว จากการทำเหมืองของเอกชนอีกราย ซึ่งส.ส.เลยมีส่วนเกี่ยวข้องที่เปิดไปแล้วก่อนหน้านี้บนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นป่าชุมชน ชาวบ้านเคยพึ่งอาศัยหาอาหารจากป่าผืนนี้ ปัจจุบันไม่มีใครกล้าเข้าไปเก็บหากินแล้ว เสี่ยงที่ดินจะถล่มทับตาย อีกทั้งมลพิษทางเสียงจากเครื่องจักรรบกวนสมาธิการเรียนหนังสือของเด็กๆ ด้วย

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการให้ประทานบัตรแก่เอกชนรายนี้ไว้ก่อน จนกว่าจะมีการศึกษาและประเมินผลกระทบด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชนเสียก่อน และต้องจัดให้มีการทำประชาคมรับความคิดเห็นของชาวบ้านด้วย