พิษณุโลก - “บรรหาร”ลุยตรวจงานเขื่อนแควน้อยรอบที่ 3 บี้ผู้รับเหมาทำงานเต็มสูบ หวั่นหัวงานเขื่อนจะเสร็จไม่ทันตามสัญญา พบปมปัญหาใหม่ระบบท่อส่งชลประทาน ติดปัญหาที่ดินเวนคืนนับ 1,000 แปลง
รายงานข่าวจากจังหวัดพิษณุโลก แจ้งว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางมายังหัวงานเขื่อนแควน้อย ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก เมื่อ 2 พ.ค.51 เพื่อตรวจงานโครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นับเป็นครั้งที่ 3 นับจากครั้งแรกที่เดินทางมาเมื่อ 1 มีนาคม 2551 โดยมีนายชูชาติ ฉุยกลม ผู้อำนวยการโครงการเขื่อนแควน้อย และ นายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกและหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การต้อนรับ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนและหัวหน้าพรรคชาติไทยเดินทางมาเร่งรัดหัวงานเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จากเดิมงานก่อสร้างล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนงาน ติดปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทผู้รับเหมา และปัญหาที่ดิน กระทั่งวันนี้ได้แก้ไข และเห็นสภาพการทำงานของผู้รับเหมาว่าดีขึ้นกว่าเดิม คลายปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินจากธนาคารไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ยืนยันว่า หัวงานเขื่อนเสร็จตามหรือไม่ เพียงแต่จะเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามกำหนด
นอกจากนี้ยังทราบว่า ระบบชลประทานตอนล่างของงานเขื่อนติดปัญหา เรื่องที่ดินกว่า 1,000 ราย ไม่สามารถเวนคืนได้ คิดแล้วรวมเนื้อที่จำนวนหลายไร่ ทำให้ระบบท่อส่งระบบชลประทานตอนล่างก็ยังเป็นปัญหาอยู่ที่ต้องติดตามและเร่งรัด เพราะจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ใช้น้ำทางภาคกลาง
ด้านนายชูชาติ ฉุยกลม ผู้อำนวยการโครงการเขื่อนแควน้อย กล่าวว่า ผู้รับเหมาคือกิจการร่วมค้ายูบีซีเพาเวอร์จะสิ้นสุดสัญญา 6 สิงหาคม 51 ล่าสุดผู้รับเหมายังไม่ได้ขอขยายระยะสัญญา
สำหรับปริมาณงานเขื่อนแควน้อยและเขื่อนสันตะเคียน ซึ่งคืบหน้าไปแล้ว 83 เปอร์เซ็นต์ ช้าว่าแผนงานกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ ส่วนงานที่ รมว.เกษตรฯ ระบุว่า ระบบชลประทานจะเสร็จสมบูรณ์ ต้องรองานหัวงานเขื่อนแควน้อยเสร็จไปแล้ว 1-2 ปี ซึ่งขณะนี้ก็ยังทำงานอยู่ แต่ยอมรับว่ายังติดปัญหาเรื่องเวนคืนที่ดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบรรหาร ได้ท้วงติงในที่ประชุมกรณีบริษัทผู้รับเหมาทำงานล่าช้าไม่เป็นไปตามแผน โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องจักรที่ทำงานได้เพียง 58 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากขาดคนงาน ทำให้นายบรรหารต้องเร่งรัดให้ผู้รับเหมาเดินเครื่องจักรถให้เต็มสูบกว่าที่เป็นอยู่ ให้สามารถทำงานในระดับ 70 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณเครื่องจักรกลที่มีอยู่
หลังการประชุมนายสมศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปริมาณฝนที่ตกเพิ่มขึ้น เป็นผลดีต่อเขื่อนหลายแห่ง สามารถรองรับน้ำได้อีกมากจากความจุอ่าง เช่น เขื่อนภูมิพลอยู่ในระดับร้อยละ 48 ยังรองรับน้ำได้อีกร้อยละ 52 เขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำอยู่ร้อยละ 45 ยังรองรับน้ำฝนอีก 55 เป็นต้น หากจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ก็ได้สั่งการให้กรมชลเตรียมติดตามและเฝ้ารังอย่างใกล้ชิด