พิจิตร- รองผู้ว่าฯพิจิตร เรียกถกโรงสี ผู้นำเกษตรกร หลังราคาข้าวพุ่งขึ้นพรวดพราดถึง 30%ในระยะแค่ 4 เดือน หวั่นเกิดเหตุปั่นราคาซ้ำรอยประวัติศาสตร์ จนทำให้ผู้ส่งออกบางรายรวยไม่รู้เรื่อง แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ขาดทุนกันย่อยยับ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาสร้างราคาที่สมดุล พร้อมเตือนหลังข้าวขึ้นราคาชาวนาเมืองชาละวันเริ่มขยายพื้นที่ทำนาปรังต่อเนื่อง ชี้อาจเกิดศึกแย่งน้ำรุนแรงได้ในปีนี้
รายงานข่าวจากจังหวัดพิจิตร แจ้งว่า นายสุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้ประชุมร่วมกับประธานหอการค้า ประธานชมรมโรงสีข้าว จ.พิจิตร พร้อมผู้นำเกษตรกรที่ห้องประชุมศาลากลางพิจิตร เมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากราคาข้าวเปลือกที่พุ่งขึ้นราคาถึงตันละ 8,600 บาท เพิ่มขึ้นจากปกติถึง 30% ในช่วงเวลาเพียง 4 เดือน
โดย นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากูล ประธานชมรมโรงสีพิจิตร กล่าวว่า ขณะนี้โรงสี 46 แห่งของชมรมมีข้าวอยู่ในสต๊อกเป็นข้าวสาร 54,000 ตัน, ข้าวเปลือก 100,000 ตัน การที่ราคาข้าวขึ้นรวดเร็วทำให้โรงสีหลายแห่งขาดทุนกระสอบละ 400 บาท เนื่องจากมีภาระสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้ว นอกจากนี้ราคาข้าวที่แพงเกินความคาดหมายก็ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อข้าวสารแพงตามไปด้วย
จึงอยากให้รัฐบาลรีบดำเนินการถ่วงดุลราคาให้สมดุล อย่าเร่งส่งออกจนคนในประเทศไม่มีข้าวกิน หรือกินข้าวแพง นอกจากนี้ ชาวนาพิจิตรที่ทำนากว่า 3 แสนไร่ก็ตื่นตัวขยายพื้นที่ทำนาปรังจนเกรงว่าในไม่ช้าจะเกิดศึกแย่งน้ำ ถึงขั้นใช้อาวุธและกำลังตัดสินปัญหาถ้าไม่เร่งดำเนินการป้องกัน
นายบรรจง กล่าวอีกว่า ประเด็นที่เป็นห่วงสำหรับไทยก็คือระบบราชการที่แก้ปัญหาล่าช้า ยกตัวอย่าง เช่น เวียดนาม อินเดีย จีน ถ้าพืชอาหารของประเทศมีปัญหา ก็จะหยุดส่งออกทันที แต่เมืองไทยทำอย่างนั้นไม่ได้
อีกประเด็นคือ การปั่นราคาข้าวของผู้ส่งออกบางราย ซึ่งเคยมีประวัติศาสตร์ เรื่องข้าวเหนียว เมื่อปีที่ผ่านมาราคาสูงไปถึง 12,000 บาท แต่แล้วจู่ๆ ก็ตกลงเหลือ 7 พันบาทเศษ และที่สำคัญขณะนี้ผู้ส่งออกบางรายรับ order ข้าวเหนียวไว้ต่ำกว่า 400 us หรือ 13,000 บาท แต่ปัจจุบันข้าวนึ่งขึ้นราคาไปถึงตันละ 16,000 บาทปลายข้าวทุกชนิดราคาสูงขึ้นถึง 30%-40% ปลาย ข้าวหอมเดิม 9,000 บาทเศษ วันนี้ทะลุไปถึง 14,500 บาท อาจทำให้เกิดการปั่นราคาเกิดขึ้นอีก
เพราะราคาข้าวที่ขึ้นลงรวดเร็ว ย่อมจะต้องมีผลให้ผู้ประกอบการบางคนรวยแบบไม่รู้เรื่อง และผู้ประกอบการที่เป็นแมลงเม่าเข้ากองไฟก็ต้องขาดทุนย่อยยับ ที่เห็นได้จากปลายข้าวหอมและต้นข้าวเหนียวที่ใครมีใบสั่งซื้อไว้มากก็ขาดทุนแน่นอน
“อาจเป็นฟองสบู่แตกในวงการค้าข้าวและการส่งออกข้าว ถ้ารัฐไม่เร่งพิจารณาทำให้ราคาสมดุลในเร็ววันนี้”
นายบรรจง มองว่า นอกจากนี้ ราคาข้าวที่ขึ้นสูงยังลุกลามไปถึงวงการอาหารสัตว์ที่ต้องขึ้นราคาอาหารสัตว์ส่งผลไปถึงฟาร์มปศุสัตว์และเนื้อสัตว์อย่างรุนแรงเช่นเดียวกันอีกด้วย ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกไม่นานเมืองไทยก็จะเข้าสู่กลียุคอย่างแน่นอน
รายงานข่าวจากจังหวัดพิจิตร แจ้งว่า นายสุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้ประชุมร่วมกับประธานหอการค้า ประธานชมรมโรงสีข้าว จ.พิจิตร พร้อมผู้นำเกษตรกรที่ห้องประชุมศาลากลางพิจิตร เมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากราคาข้าวเปลือกที่พุ่งขึ้นราคาถึงตันละ 8,600 บาท เพิ่มขึ้นจากปกติถึง 30% ในช่วงเวลาเพียง 4 เดือน
โดย นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากูล ประธานชมรมโรงสีพิจิตร กล่าวว่า ขณะนี้โรงสี 46 แห่งของชมรมมีข้าวอยู่ในสต๊อกเป็นข้าวสาร 54,000 ตัน, ข้าวเปลือก 100,000 ตัน การที่ราคาข้าวขึ้นรวดเร็วทำให้โรงสีหลายแห่งขาดทุนกระสอบละ 400 บาท เนื่องจากมีภาระสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้ว นอกจากนี้ราคาข้าวที่แพงเกินความคาดหมายก็ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อข้าวสารแพงตามไปด้วย
จึงอยากให้รัฐบาลรีบดำเนินการถ่วงดุลราคาให้สมดุล อย่าเร่งส่งออกจนคนในประเทศไม่มีข้าวกิน หรือกินข้าวแพง นอกจากนี้ ชาวนาพิจิตรที่ทำนากว่า 3 แสนไร่ก็ตื่นตัวขยายพื้นที่ทำนาปรังจนเกรงว่าในไม่ช้าจะเกิดศึกแย่งน้ำ ถึงขั้นใช้อาวุธและกำลังตัดสินปัญหาถ้าไม่เร่งดำเนินการป้องกัน
นายบรรจง กล่าวอีกว่า ประเด็นที่เป็นห่วงสำหรับไทยก็คือระบบราชการที่แก้ปัญหาล่าช้า ยกตัวอย่าง เช่น เวียดนาม อินเดีย จีน ถ้าพืชอาหารของประเทศมีปัญหา ก็จะหยุดส่งออกทันที แต่เมืองไทยทำอย่างนั้นไม่ได้
อีกประเด็นคือ การปั่นราคาข้าวของผู้ส่งออกบางราย ซึ่งเคยมีประวัติศาสตร์ เรื่องข้าวเหนียว เมื่อปีที่ผ่านมาราคาสูงไปถึง 12,000 บาท แต่แล้วจู่ๆ ก็ตกลงเหลือ 7 พันบาทเศษ และที่สำคัญขณะนี้ผู้ส่งออกบางรายรับ order ข้าวเหนียวไว้ต่ำกว่า 400 us หรือ 13,000 บาท แต่ปัจจุบันข้าวนึ่งขึ้นราคาไปถึงตันละ 16,000 บาทปลายข้าวทุกชนิดราคาสูงขึ้นถึง 30%-40% ปลาย ข้าวหอมเดิม 9,000 บาทเศษ วันนี้ทะลุไปถึง 14,500 บาท อาจทำให้เกิดการปั่นราคาเกิดขึ้นอีก
เพราะราคาข้าวที่ขึ้นลงรวดเร็ว ย่อมจะต้องมีผลให้ผู้ประกอบการบางคนรวยแบบไม่รู้เรื่อง และผู้ประกอบการที่เป็นแมลงเม่าเข้ากองไฟก็ต้องขาดทุนย่อยยับ ที่เห็นได้จากปลายข้าวหอมและต้นข้าวเหนียวที่ใครมีใบสั่งซื้อไว้มากก็ขาดทุนแน่นอน
“อาจเป็นฟองสบู่แตกในวงการค้าข้าวและการส่งออกข้าว ถ้ารัฐไม่เร่งพิจารณาทำให้ราคาสมดุลในเร็ววันนี้”
นายบรรจง มองว่า นอกจากนี้ ราคาข้าวที่ขึ้นสูงยังลุกลามไปถึงวงการอาหารสัตว์ที่ต้องขึ้นราคาอาหารสัตว์ส่งผลไปถึงฟาร์มปศุสัตว์และเนื้อสัตว์อย่างรุนแรงเช่นเดียวกันอีกด้วย ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกไม่นานเมืองไทยก็จะเข้าสู่กลียุคอย่างแน่นอน