สุโขทัย – ชลประทานฯโชว์ “แก้มลิงสุโขทัย” ใกล้เสร็จ เชื่อมั่นรับมืออุทกภัยฝนนี้-ป้องกันตัวเมืองได้แน่ พร้อมวาดหวัง อปท.ช่วยพัฒนาต่อเป็น “บึงฉวาก 2” ดึงเงินจากการท่องเที่ยวเข้าจังหวัดปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้าน
รายงานข่าวจากจังหวัดสุโขทัยแจ้งว่า นายมงคล วิเชียรชิต ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 4 ได้พาคณะสื่อมวลชนตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการทุ่งทะเลหลวง (แก้มลิง) ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางหลวงหมายเลข 12 กับถนนเลี่ยงเมืองสายสุโขทัย - ตาก ต.บ้านกล้วย อ.เมืองสุโขทัย เมื่อวันที่ 5 ก.พ.51 ที่ผ่านมา
โดยนายมงคล กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มดำเนินงานเมื่อเดือนมกราคม 2550 ปัจจุบันดำเนินงานเสร็จแล้ว 96 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 854 ล้านบาท มีกำหนดส่งมอบงานในเดือนมีนาคม 51 นี้ มีเป้าหมายเพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำถาวรในลักษณะแก้มลิงขนาดใหญ่ เก็บกักน้ำที่มีปริมาณมากในฤดูฝน เป็นการบรรเทาปัญหาอุทกภัยในเขตตัวเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ โดยจะรับน้ำจากแม่น้ำยมที่ไหลบ่าล้นตลิ่งฝั่งขวา น้ำห้วยท่าแพ น้ำแม่มอกที่ไหลบ่าจาก อ.บ้านด่านลานหอย และไหลมารวมกันบริเวณที่ลุ่มเรียกว่า “ทะเลหลวง”
ทั้งยังเป็นแหล่งเก็บกักน้ำใช้ทำเกษตรในฤดูแล้ง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นแหล่งทดลองและวิจัยด้านวิชาการเกษตร รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนอีกด้วย
“โครงการนี้ มีเนื้อที่ 7,070 ไร่ ขุดเป็นพื้นที่เก็บกักน้ำ 3,755 ไร่ สามารถเก็บกักน้ำได้ปริมาณ 32.40 ล้านลูกบาศก์เมตร เกษตรกรในพื้นที่บริเวณรอบๆ โครงการฯ กว่า 30,000 ไร่ จะมีน้ำใช้ในยามแล้ง ผลผลิตเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่าปีละกว่า 60 ล้านบาท และสามารถบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองสุโขทัย ปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และถ้ามองจากภาพถ่ายทางอากาศจะเห็นว่า พื้นที่เกาะกลาง 90 ไร่ จะเป็นรูปหัวใจ”
ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 4 กล่าวอีกว่า อนาคตพื้นที่ในโครงการทุ่งทะเลหลวง (แก้มลิง) แห่งนี้ จะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ และพัฒนาให้เป็นศูนย์รวมด้านการท่องเที่ยวแหล่งสำคัญของจังหวัดสุโขทัย พัฒนาให้เป็นบึงฉวากแห่งที่ 2 ของประเทศไทย
แต่ก็ขึ้นอยู่กับทางจังหวัดกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งต้องร่วมกันบูรณาการ คาดว่าหากสำเร็จตามเป้าหมาย จ.สุโขทัย จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว เพิ่มอีกปีละ 1,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามกรณีการทำโครงการแก้มลิงสุโขทัยดังกล่าว ก่อนหน้านี้มีข้อครหาเกี่ยวกับการนำดินที่ขุดขึ้นมา ไปเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนการเมืองในพื้นที่ เกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจังเท่านั้น
