พะเยา – คู่แข่งเตรียมฟ้องศาล เอาผิดว่าที่นายก อบจ.คนในตระกูล “ตันบรรจง” น้อง ส.ส.พปช.เมืองกว๊านฯ ฐานทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแจกของชาวบ้าน เพื่อหาเสียงล่วงหน้า 90 วันก่อนครบวาระ
นายประพันธ์ สิงห์ชัย ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พะเยา เบอร์ 1 เปิดเผยหลังการเลือกตั้งว่า ตนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยื่นร้องต่อศาลปกครองและศาลอาญา โดยฟ้องนายไพรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร นายก อบจ.เบอร์ 2 ว่ากระทำการหาเสียงล่วงหน้าผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่นายไพรัตน์ดำรงตำแหน่งได้ดำเนินการโครงการหลายโครงการภายในระยะเวลา 90 วันก่อนครบวาระ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการหาเสียงล่วงหน้า อันเป็นเหตุจูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือก หรือไม่เลือกผู้สมัครใดในเวลาต่อมาด้วย
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนจะเดินทางพร้อมด้วยทีมงานประมาณ 2-3 คน เพื่อเข้ายื่นเรื่องต่อศาลปกครองและศาลอาญา เหตุผลสำคัญที่ตนตัดสินใจเข้าร้องขอความเป็นธรรมเนื่องจากตนมั่นใจและเชื่อมั่นในกระบวนการทำงานของศาลที่มีการไต่สวนพยานในชั้นศาลและให้น้ำหนักกับพยาน ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ต่างจากกระบวนการทำงานของ กกต.ซึ่งรับฟังจากการสอบสวนของอนุกรรมการสอบสวน พร้อมกันนั้น กกต.ก็พิจารณาเรื่องคุณและโทษไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน
“กกต.ก็เปรียบเสมือนเสือกระดาษไม่สามารถเอาผิดผู้ที่กระทำผิดได้จริง แม้ว่าจะมีข้อมูล ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเพียงใด จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตนต้องตัดสินใจขอพึ่งกระบวนการของศาลแทน” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ สิงห์ชัย ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พะเยา เบอร์ 1 เปิดเผยหลังการเลือกตั้งว่า ตนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยื่นร้องต่อศาลปกครองและศาลอาญา โดยฟ้องนายไพรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร นายก อบจ.เบอร์ 2 ว่ากระทำการหาเสียงล่วงหน้าผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่นายไพรัตน์ดำรงตำแหน่งได้ดำเนินการโครงการหลายโครงการภายในระยะเวลา 90 วันก่อนครบวาระ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการหาเสียงล่วงหน้า อันเป็นเหตุจูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือก หรือไม่เลือกผู้สมัครใดในเวลาต่อมาด้วย
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนจะเดินทางพร้อมด้วยทีมงานประมาณ 2-3 คน เพื่อเข้ายื่นเรื่องต่อศาลปกครองและศาลอาญา เหตุผลสำคัญที่ตนตัดสินใจเข้าร้องขอความเป็นธรรมเนื่องจากตนมั่นใจและเชื่อมั่นในกระบวนการทำงานของศาลที่มีการไต่สวนพยานในชั้นศาลและให้น้ำหนักกับพยาน ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ต่างจากกระบวนการทำงานของ กกต.ซึ่งรับฟังจากการสอบสวนของอนุกรรมการสอบสวน พร้อมกันนั้น กกต.ก็พิจารณาเรื่องคุณและโทษไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน
“กกต.ก็เปรียบเสมือนเสือกระดาษไม่สามารถเอาผิดผู้ที่กระทำผิดได้จริง แม้ว่าจะมีข้อมูล ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเพียงใด จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตนต้องตัดสินใจขอพึ่งกระบวนการของศาลแทน” นายประพันธ์ กล่าว
