ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- 3 ว่าที่ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ “พลังแม้ว”โดน “ใบแดง” ยกแก๊ง โวยลั่นกกต.ขาดความเป็นธรรมก็ไม่ควรมีเลยจะดีกว่า ยืนยันไม่เคยแจกเงินซื้อเสียง อ้างคนที่ร้องรับเงินเป็นหัวคะแนนของผู้สมัครฯ พรรคเพื่อแผ่นดิน ด้านกกต.จังหวัดเดินหน้าต่อ เร่งพิจารณาส่งกกต.กลางเชือดว่าที่ ส.ส.โคตรโกงอีก 19 สำนวน
วันนี้ (30 ธ.ค.) นายประกิจ พลเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน (พปช.) หัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 บุรีรัมย์ พรรคพปช. ซึ่งได้รับเลือกตั้งมีคะแนนมาเป็น 3 อันดับแรกยกทีมทั้ง 3 คน คือ นายประกิจ พลเดช ,นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน และ นายรุ่งโรจน์ ทองศรี ตามลำดับแต่กลายเป็นว่าที่ ส.ส.ที่ กกต.กลางวินัจฉัยให้ใบแดง เปิดเผยในวันนี้ ( 30 ธ.ค.) เปิดเผยว่า ตนรู้สึกตกใจและ ตอนแรกไม่เชื่อข่าวดังกล่าวเพราะทางกกต.กลางยังไม่ได้เรียกเข้าไปให้ปากคำ หรือชี้แจงข้อกล่าวหาแต่อย่างใด มีเพียง กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ที่เรียกเข้าไปให้ปากคำ ซึ่งตนก็มีพยานยืนยันพร้อมว่าไม่ได้แจกเงินซื้อเสียงตามที่มีผู้ร้องเรียน
โดย นายหนูไกล สุดมี ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นแกนนำและรับเงินก็ยืนยันกับ กกต.จังหวัด แล้วว่าไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด ส่วน นายจรุญ กองกิจ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.เสาเดียว อ.หนองหงส์ ที่อ้างว่าได้รับเงินก็เป็นหัวคะแนนให้กับ นายหนูแดง วรรณกลางซ้าย ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้ง 1 บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนพวกตน
ในเมื่อพวกตนทั้ง 3 คนซึ่งไม่เคยแจกเงินซื้อเสียงเลย แต่ต้องมาถูกลงโทษแบบนี้ ก็ไม่อยากเรียกร้องอะไรอีก คงพูดได้เพียงว่าถ้ายังมี กกต.ที่ขาดความเป็นธรรมก็ไม่ควรจะมีกกต.เลยน่าจะดีกว่า อย่างไรก็ตามตนพร้อมจะต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อไป เคียงคู่กับพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสและตัดสินใจเลือกตน อย่างที่เห็นได้จากผลการเลือกตั้ง
ด้าน นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์พรรค พปช. ที่มีคะแนนเป็นลำดับที่ 2 ซึ่งถูก กกต.วินิจฉัยให้ใบแดงเช่นกัน กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องและยังรู้สึกสับสนกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อกระแสข่าวที่ออกมา เพราะรู้สึกว่าตัวเองบริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำผิดคงไม่โดนใบแดงแน่นอน ประกอบกับยังไม่ได้เข้าไปชี้แจงที่ กกต.กลาง จึงเห็นว่าคงจะยังไม่มีการตัดสินวินิจฉัย อย่างไรก็ตามยังไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คงต้องรอหารือกับทางแกนนำพรรคพปช.ก่อน
ส่วน นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่ ส.ส.เขต 2 บุรีรัมย์ พรรคพปช. ในฐานะประธานประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสานพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนไม่อยากวิจารณ์ถึงกรณีดังกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น คงต้องรอหารือกับผู้บริหารพรรคก่อน อย่างไรก็ตามยังคงไม่ทราบข้อเท็จจริงกับรายละเอียดเรื่องว่าที่ ส.ส.เขต 1 ของพรรคทั้ง 3 คนโดนใบแดง ขอรอตรวจสอบความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
สื่อข่าวยังรายงานว่า นายรุ่งโรจน์ ทองศรี หนึ่งในว่า ที่ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ที่ถูกให้ใบแดงในครั้งนี้เป็นน้องชายของ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ด้วย ซึ่ง นายรุ่งโรจน์ ยังเคยได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ว.ชุดโมฆะครั้งล่าสุดที่ผ่านมา และครั้งนี้ได้ผันตัวเองมาลงสนามเลือกตั้ง ส.ส.จนได้รับการเลือกตั้ง แต่ก็ถูกให้ใบแดงไม่ได้เป็น ส.ส. อีกครั้ง
ส่วน นายโสภณ เพชรสว่าง ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ผู้ที่มีคะแนนมาเป็นลำดับ 4 กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าทาง กกต.จะมีการจัดเลือกตั้งใหม่หรือไม่ แต่หากจัดการเลือกตั้งใหม่ก็เชื่อมั่นว่าประชาชนจะให้โอกาสตน ประกอบกับคู่แข่งสำคัญจากพรรคพลังประชาชนถูกใบแดง หากมีการเลือกตั้งใหม่ก็ถือว่าเป็นงานเบาขึ้น แต่มีเงื่อนไขเวลาหาเสียงที่สั้นมากเป็นอุปสรรค
อย่างไรก็ตาม หากมีการเลือกตั้งใหม่ ตนเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อแผ่นดินจะได้ 2 ที่นั่งในเขตนี้ เพราะดูจากผลคะแนนที่ได้ลำดับที่ 4 และ6 ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ตนก็อยากฝากขอบคุณทาง กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม เพราะหากผู้ที่จ่ายเงินซื้อเสียงยังคงได้เข้าไปเป็นส.ส.อยู่ ประเทศชาติก็คงไม่พัฒนา อยากเห็นประชาชนเลือก ส.ส.จากนโยบายของพรรค ควบคู่กับพิจารณาจากตัวบุคคลมากกว่าการรับเงินซื้อเสียง หากเป็นเช่นนั้นได้ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย ในทุกระดับและปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในที่สุด
สำหรับผู้สมัคร ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 1 บุรีรัมย์ ที่มีคะแนนมาเป็นลำดับที่ 4 , 5 และ 6 ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นายโสภณ เพชรสว่าง หมายเลข 10 พรรค พผ. ,นายสมนึก เฮงวาณิชย์ หมายเลข 3 พรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) และ นายหนูแดง วรรณกลางซ้าย หมายเลข 11 พรรค พผ.
ด้าน นายเกษม วัฒนธรรม ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ขณะนี้ กกต.กำลังเร่งตรวจสอบสำนวนการร้องเรียนของผู้สนับสนุนผู้สมัคร และผู้สมัคร ส.ส. ที่ยังค้างอยู่อีกจำนวน 19 สำนวน โดยจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเข้าที่ประชุม กกต.จังหวัด เพื่อส่งให้ กกต.กลาง พิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อนวันเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 13 ม.ค. นี้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อสิทธิขายเสียง ข่มขู่ สัญญาว่าจะให้ รวมไปถึงการแจกจ่าย วีซีดี อีกเป็นจำนวนมาก
โดยการพิจารณาจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งผู้ถูกร้องเรียน และผู้ร้องเรียน ซึ่งเรื่องร้องเรียนจะมีผลอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลหลักฐาน และ กกต.กลางจะเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดให้ใบเหลือง -ใบแดงผู้สมัครที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนกกต.จังหวัดไม่มีอำนาจชี้ขาดแต่อย่างใด รวมทั้งมั่นใจว่า 19 สำนวนจะแล้วเสร็จในไม่ช้านี้ นายเกษม กล่าวในตอนท้าย