สิ้นเสียงปืน 9 มม.จำนวน 8 นัด ในเช้าตรู่ของวันที่ 22 ต.ค.50 ที่ผ่านมา นอกจากจะส่งผลให้ครอบครัว “ศิลปะอวยชัย” ต้องสูญเสียสมาชิกอย่าง “นพ.ชาญชัย ศิลปะอวยชัย นายก อบจ.แพร่” อย่างไม่มีวันกลับ – สังคมเมืองแพร่ ก็สูญเสียนักการเมืองดาวรุ่งคนหนึ่งแล้ว
ยังส่งผลสะเทือนต่อสนามการเมืองของจังหวัดแพร่อีกครั้ง
หลังจากหลายสิบปีก่อนหน้านี้ สนามเมืองแพร่ จะถูกยึดครองโดย “วงศ์วรรณ – เอื้อภิญญกุล” มาอย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่ตระกูล “วงศ์วรรณ” จะถูกล้มโดยตระกูล “ศุภศิริ” ของพ่อเลี้ยงศานิต ศุภศิริ คนดังเมืองแพร่ ที่แตกหน่อมาจากกลุ่ม “วงศ์วรรณ” ปลุกปั้นลูกสาว คือ “ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู (ศุภศิริ)” ชิง 1 เก้าอี้ ส.ส.เมืองแพร่ ในนามพรรคประชาธิปัตย์มาได้
กระทั่งยุค “ไทยรักไทย” ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กลับมารวมทีม “วงศ์วรรณ – เอื้ออภิญญกุล” ผนวกเข้ากับการเดินเกมทางการเมืองทุกรูปแบบ จนสามารถยึดเก้าอี้ ส.ส.ของ “แม่เลี้ยงติ๊ก – ศิริวรรณ” มาได้
แต่ก็ยึดกุมได้เฉพาะเก้าอี้ ส.ส.เท่านั้น
เพราะตลอดระยะที่ผ่านมา ฐานเสียงที่หนักแน่น เป็นกลุ่มก้อนของเมืองแพร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในมือ “นพ.ชาญชัย ศิลปะอวยชัย” อดีตนายก อบจ.2 สมัยซ้อน ที่เพิ่งถูกยิงดับไปหมาด ๆ ซึ่งเป็นอีกหน่อเนื้อการเมืองหนึ่งของกลุ่ม “ศุภศิริ” ของพ่อเลี้ยงศานิตย์ ที่สนับสนุนอย่างเต็มที่ จนสามารถนำพาพลพรรคเข้ายึดเก้าอี้ ส.จ.จังหวัดแพร่ได้กว่า 90% เหลือให้ ทรท.เดิม (พลังประชาชน) เพียง 10%เท่านั้น
ซึ่งการเมืองระดับชาติทั้ง ส.ส. - ส.ว. เมืองแพร่นั้น ส่วนใหญ่สืบทอดตามสายเลือดจากปู่มาสู่พ่อ และจากพ่อมาสู่ลูก หรือตามเส้นสายการเมืองเท่านั้น
“หมอชาญชัย” ก็เป็นผู้หนึ่งที่เติบใหญ่มาบนถนนการเมืองแบบเดียวกัน ต่างกันตรงที่ไม่มีเครือญาติทางการเมือง
เป็น “ข้าวนอกนา” สำหรับสนามการเมืองแพร่
แต่ “ข้าวนอกนา” ในเวทีการเมืองของเมืองแพร่คนนี้ ได้ก่อร่างสร้างฐานอำนาจของตนเองผ่านเวที อบจ.ถึง 2 สมัย และเชื่อขนมกินได้ว่า มีนาคม 51 เมื่อหมดวาระลง หากยังเลือกชิงชัยในสนามนี้อยู่ หมอชาญชัย ก็มีสิทธิ์ที่จะผูกขาดเก้าอี้ นายกฯ อบจ.แพร่ อีกสมัยแน่นอน
เป็นอีกขั้วหนึ่ง ท่ามกลางขั้วใหญ่เดิมที่ยึดครองพื้นที่อยู่ หากหันไปสนับสนุนขั้วไหน ก็จะสามารถชี้ชะตาเก้าอี้ ส.ส.เมืองแพร่ ได้ล่วงหน้า
แต่เมื่อสิ้นลมหายใจของหมอชาญชัย ทำให้สนามการเมืองของเมืองแพร่ หวนกลับสู่สถานะเดิมคือ พลังประชาชนที่มีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ลูกชายของนายเมธา เอื้ออภิญญกุล -นายอนุวัธ วงศ์วรรณ ลูกชายพ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณ สองตระกูลการเมืองของเมืองแพร่ และประชาธิปัตย์ ที่มีพ่อเลี้ยงศานิต ศุภศิริ ซึ่งมีลูกสาวคือ แม่เลี้ยงติ๊ก –ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู เป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย
โดยมีเครือข่ายพรรคชาติไทยที่มีกลุ่มตระกูล “พนมขวัญ” ที่มีนายรัตน์ พนมขวัญ อดีตวุฒิสมาชิกเป็นแกนหลัก มีทายาทหลายคนที่พร้อมจะทำหน้าที่ทางการเมือง ทั้งนายโชคชัย พนมขวัญ ลูกชายคนเล็ก ปัจจุบันเป็นนายกเทศมนตรีเมืองแพร่ ,นายสามขวัญ พนมขวัญ ลูกชายคนโต ที่เคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ,นายสามชาย พนมขวัญ เข้าไปสร้างฐานภาคประชาชนเป็นกลุ่มประชาสังคม และล่าสุดนายขวัญชัย พนมขวัญ กำลังเดินหน้าเตรียมตัวสมัคร ส.ส.แพร่ ในนามพรรคชาติไทย
เพียงแต่กลุ่ม “พนมขวัญ” แม้ว่าจะถือเป็นอีกขั้วหนึ่งของการเมืองจังหวัดแพร่ แต่เป็นอีกขั้วหนึ่งสำหรับพรรคพลังประชาชนเป็นด้านหลัก เพราะกลุ่มนี้ดูเหมือนยังถ้อยทีถ้อยอาศัยกับขั้วประชาธิปัตย์เมืองแพร่อยู่
โดยนายโชคชัย พนมขวัญ -นายแพทย์ชาญชัย ศิลปะอวยชัย และนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู เคยจับมือลงสนามเลือกตั้ง ส.ส.แพร่ในนามพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันมาแล้วในสมัยที่ยังไม่แบ่งเขตเลือกตั้ง ก่อนการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 แต่สู้การซื้อเสียงไม่ไหว จึงมีเพียงหัวหน้าทีมคือ “แม่เลี้ยงติ๊ก” เข้าสภาไปได้คนเดียว
แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับ “หมอชาญชัย” ขั้วการเมืองท้องถิ่นที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 50 ที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน
โดยในภาพรวมนั้นการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ คาดการณ์กันว่า พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีต ส.ส.แพร่นำทีม ตามด้วยนายสมชัย จำปี ,นายสุขุม กันกา นั้น เดิมคอการเมืองเชื่อมั่นว่า ทีมนี้ จะยึดเก้าอี้ ส.ส.ได้อย่างน้อย 2 ที่นั่ง
ส่วนอีกกลุ่มคื่อ พลังประชาชนหรือพรรคไทยรักไทยเดิม มีการเปิดตัว ลงพื้นที่หาเสียง - หาสมาชิกพรรค เป็นกลยุทธ์สำคัญไม่ต่างจากวิธีของพรรคไทยรักไทยเดิม ผู้สมัครในครั้งนี้ไม่มีนายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ เพราะถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย แต่มีการจัดทีมผู้สมัครใหม่คือ นายอนุวัธ วงศ์วรรณ ,นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล และนายแพทย์นิยม วิวรรธนดิษฐกุล
ส่วนพรรคชาติไทยที่จะเป็นอีกพรรคทางเลือกของชาวแพร่มีนายขวัญชัย พนมขวัญ นำทีม และอาจมีนายดอนเมืองแพร่ หริ่มรักษาทรัพย์ รองนายก อบจ.แพร่ ลงสมัคร ส.ส.ด้วยเช่นกัน
ซึ่งหากดูจากตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แพร่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนที่ทำงานในจังหวัดแพร่มาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นนายสุขุม กันกา ที่เป็นทนายความอาสาช่วยชาวบ้าน เข้าเล่นการเมืองเป็นถึงรองนายก อบจ.แพร่ ,นายสมชัย จำปี มีฐานสำคัญอยู่ที่ตอนใต้ของ อ.วังชิ้น และทำการเมืองในระดับเทศบาลตำบลวังชิ้น ขึ้นสู่ รองนายก อบจ.แพร่ ในปัจจุบัน จึงเป็นทีมที่แข็งเมื่อบวกเข้ากับนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู แม่เลี้ยงติ๊ก 1 เดียวของ ปชป.เมืองแพร่ มาหลายสมัย
ในส่วนของพรรคพลังประชาชนนั้น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ว่ากันว่ามีปัญหาเรื่องโครงการส่งเสริมหลายโครงการที่ประสบความล้มเหลว เช่น โครงการเพาะเนื้อเยื่อ จ.แพร่ โครงการเหล้าพื้นบ้าน โครงการโรงงานข้าวหอมมะลิสำเร็จรูป โครงการเมืองหัตถกรรมไม้ที่เด่นชัย และโครงการตั้งโรงงานอบไอน้ำมะม่วงน้ำดอกไม้ส่งออก ฯลฯ ล้วนเป็นโครงการที่กำลังถูกตรวจสอบการใช้งบประมาณจากผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่
ส่วนนายอนุวัธ วงศ์วรรณ นั้นภาพดูเหมือนไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ คือการทำธุรกิจในจังหวัดอื่น ใช้พื้นที่แพร่หาเสียงเป็นนักการเมือง ดังนั้นนายอนุวัธ จึงต้องลงทุนสูงในการเข้าไปสู่การเป็นนักการเมือง
ขณะที่นายแพทย์นิยม วิวรรธนดิษฐกุล เคยเป็นคู่แข่งของนายแพทย์ชาญชัย ในสนามนายก อบจ.แพร่ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ และมีปัญหาการผิดกฎหมายเลือกตั้งถูกใบแดงเว้นวรรคทางการเมืองมาแล้ว
ส่วนพรรคชาติไทยจะประมาทไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากนายขวัญชัย พนมขวัญ เป็นผู้ที่มีฐานคะแนนในระดับสูงทีเดียวจากการลงสนามเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา เคยเป็นเทศมนตรีเมืองแพร่ เช่นกัน ซึ่งเมื่อรวมกับนายดอนเมืองแพร่ หริ่มรักษาทรัพย์ นักจัดรายการวิทยุ และเป็นนักการเมืองระดับสูงของ อบจ.แพร่ ย่อมทำให้ดึงคะแนนเสียงได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นการสังหารโหดนายแพทย์ชาญชัย ศิลปอวยชัย นายก อบจ.แพร่ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดรูปกระบวนทัพของทุกฝ่ายการเมือง ในจังหวัดแพร่
จากสาเหตุของการตายท่ามกลางกระแสพิพาทกันเองในกลุ่มประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่หมอชาญชัยจะถูกยิงเสียชีวิต
กล่าวคือก่อนนายแพทย์ชาญชัย จะถูกยิงเสียชีวิต ภาพการเมืองของจังหวัดแพร่ เริ่มเกิดรอยปริร้าวขึ้นในขั้วประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะกรณีหมอชาญชัย – แม่เลี้ยงติ๊ก นำไปสู่การออกมากดดันและดิสเครดิตการทำงานของอดีตนายก อบจ.ผู้นี้ ที่มีผลงานดีเยี่ยมในสายตาคนเมืองแพร่ และนำพา อบจ.แพร่ โดยมีกระแสต่อต้านโครงการเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำนวน 120 ล้านบาท ที่ อบจ.แพร่ ทำโครงการนี้เพื่อพัฒนาชนบทหลังเหตุการณ์อุทกภัยและแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังเหลืออยู่ พร้อมกับมอบสิทธิ์นี้ให้ ส.อบจ.ทุกคนเสนอโครงการไม่เว้นแม้สมาชิกที่มาจากพรรคไทยรักไทยเดิม ทำให้ สตง.เข้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดต้องมีการทบทวน-ยกเลิกโครงการ
ซึ่งต่อมาก็นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่จำนวน 21 คน โหวตถอดถอนนายพงศ์สวัสดิ์ ศุภศิริ น้องชายแม่เลี้ยงติ๊ก ออกจากตำแหน่งประธานสภา อบจ.แพร่ ชนิดที่ว่า “ฆ่ากันกลางสภา” เลยทีเดียวนั้น
รวมถึงการขัดผลประโยชน์ในการรับเหมาประมูลงานใน อบจ.
จนนำไปสู่กระแสข่าวหมอชาญชัย เตรียมผละจาก ปชป.หันไปสนับสนุนพรรคคู่แข่ง
ถือเป็นประเด็นแหลมคมที่กระเทือนถึงฐานคะแนนของประชาธิปัตย์เมืองแพร่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผลดีจะตกแก่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองทันที
ประเด็นการขัดผลประโยชน์ทางการรับเหมาประมูลงาน ที่สำคัญผู้เสียผลประโยชน์ไม่ว่าประเด็นใดก็ตามจะตกเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ทันที และแน่นอนว่า จากกระแสความขัดแย้งระหว่างแม่เลี้ยงติ๊ก – หมอชาญชัย ที่แม้ยังไม่ชี้ชัดว่า เกี่ยวพันกับการสังหารโหดนายก อบจ.แพร่ ด้วยหรือไม่นั้น ย่อมพุ่งเป้าไปสู่ ปชป.เมืองแพร่ อย่างเลี่ยงไม่พ้นนั้น กำลังขยายเป็นเชื้อไฟที่จะถูกนำมาใช้ “ปิดตำนาน” พ่อเลี้ยงศานิต ศุภศิริ แห่งเมืองแพร่ ได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม แม้กระแสสังคมหลังเกิดเหตุสังหารนายก อบจ.แพร่ จะมุ่งไปที่ขั้ว ปชป.เป็นด้านหลัก แต่สภากาแฟ ยังคงไม่ทิ้งบทเรียนก่อนการเลือกตั้งในอดีตของเมืองแพร่ ที่ว่ากันว่า มักจะเกิดกรณีการ “ยิง” เรียกคะแนนเกือบทุกครั้ง ซึ่งคนในวงการต่างรู้ดีว่า มีบางคนยึดมั่นเป็นหนทางเดินสู่สภาฯ