ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ชาวโคราชกว่า 300 คนสุดทน รวมตัวชุมนุมหน้าอนุสาวรีย์ย่าโม พร้อมยกขบวนบุกยื่นหนังสือ ผบช.ภ.3 ขับไล่นายตำรวจยศ “พ.ต.ท.”ใช้อิทธิพลร่วมกับกลุ่มญาติ อดีตเจ้าอาวาสที่มรณภาพปริศนา ฮุบที่ดินวัดป่าธรรมดา อ.บัวลาย กว่า 600 ไร่ พร้อมบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าชุมชน-ไถปรับพื้นที่โล่งเตียน และขนไม้ออกไปขายเย้ยกฎหมาย เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงแก้ไขปัญหาด่วน พร้อมให้ย้ายนายตำรวจคนดังกล่าวออกนอกพื้นที่ ตร.ภาค 3 ทันที
วันนี้ (13 ก.ย.) ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มชาวบ้านและพระสงฆ์ วัดป่าธรรมดา บ้านคึมมะอุ ม.3 ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา จำนวนกว่า 300 คน นำโดย นายประสิทธิ์ พรหมนอก ได้เดินทางมาชุมนุมพร้อมชูป้ายประท้วง เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหากรณีกลุ่มญาติพี่น้องอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมดา ร่วมกับนายตำรวจยศ “พ.ต.ท.” สังกัดตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ เข้ายึดครองที่ดินวัดป่าธรรมดาจำนวนกว่า 600 ไร่ พร้อมกับได้บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าชุมชนบริเวณวัดดังกล่าวและขนไม้ออกไปขายเป็นจำนวนมาก
จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมด ได้เคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมของนายตำรวจยศ “พ.ต.ท.” คนดังกล่าว ต่อ พล.ต.ท.วราสิทธิ์ พรเลิศ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ถ.สรรพสิทธิ์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา พร้อมอ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องของกลุ่ม โดยมี พล.ต.ต. เดชาวัต รามสมภพ รอง ผบช.ภาค 3 เป็นตัวแทนลงมารับมอบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวและเชิญแกนนำผู้ชุมนุมเข้าชี้แจงรายละเอียดข้อมูลทั้งหมดในห้องประชุม ซึ่งกลุ่มชาวบ้านเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับนายตำรวจยศ พ.ต.ท.ดังกล่าว และขอให้ย้ายออกจากพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 โดยเร่งด่วน ซึ่ง พล.ต.ต.เดชาวัต รับปากที่จะดำเนินการแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องต่อไป
นายประสิทธิ์ พรหมนอก แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม เปิดเผยว่า วัดป่าธรรมดา บ้านคึมมะอุ หมู่ 3 ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ดังกล่าวได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2513 โดยมี พระครูพิพิธธรรมรส (หลวงพ่อบัญญัติ อนุตตโร) เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าอาวาสวัดมาโดยตลอด ซึ่งได้นำเงินที่ได้รับบริจาคทำบุญจากชาวบ้าน และผู้มีจิตศรัทธาทยอยซื้อที่ดินขยายบริเวณวัดมาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 1,000 ไร่ โดยการซื้อที่ดินดังกล่าวเจ้าอาวาสได้แบ่งแยกโฉนดออกเป็นหลายใบ ใส่ชื่อผู้ใกล้ชิดที่ไว้วางใจและบรรดาญาติพี่น้อง เป็นผู้ถือครองกระจายกันจำนวนหลายคน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
ต่อมา พระครูพิพิธธรรมรส เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมดา ได้เรียกคืนโฉนดที่ดิน โดยให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวมาโอนโฉนดที่ดินคืนให้เป็นชื่อของเจ้าอาวาสทั้งหมด แต่กลุ่มญาติพี่น้องของเจ้าอาวาส นำโดย นายสมาน อาดี กลับไม่ยินยอมโอนคืนให้รวมกว่า 600 ไร่ และเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2548 พระครูพิพิธธรรมรส เจ้าอาวาสได้เกิดมรณภาพ กะทันหัน อย่างมีเงื่อนงำ พบน้ำลายฟูมปาก ก่อนจะละสังขาร ชาวบ้านได้เรียกร้องให้มีการผ่าศพเพื่อพิสูจน์หาสาเหตุการตายอย่างแท้จริง แต่ญาติพี่น้องของเจ้าอาวาสไม่ยินยอมจนถึงขณะนี้
หลังจาก พระครูพิพิธธรรมรส เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมดา มรณภาพ กลุ่มของ นายสมาน โดยมี พ.ต.ท.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอยู่ที่สถานีตำรวจกิ่ง อ.บัวลาย ให้การช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง โดยได้เข้ายึดครองที่ดินที่อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนกว่า 600 ไร่ พร้อมบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าชุมชนที่ชาวบ้านช่วยกันปลูกให้วัดนำไปขาย และทำการไถปรับพื้นที่จนโล่งเตียนทั้งหมด โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของชาวบ้าน
ทางกลุ่มชาวบ้านได้หารือกัน และแต่งตั้งตัวแทนเข้ายื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับกลุ่มนายสมานที่ศาลจังหวัดบัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยศาลได้เรียกคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไกล่เกลี่ยตกลงกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ศาลจึงเรียกไต่สวนคดีครั้งแรกในวันที่ 25 ก.ย.นี้
“นายตำรวจคนนี้ได้ร่วมมือช่วยเหลือกลุ่มนายสมานทุกอย่าง อย่างเต็มที่ ทั้งการต่อสู้คดีในชั้นศาล รวมถึงใช้อิทธิพลในการอำนวยความสะดวก ควบคุมเลื่อยยนต์ ตัดไม้ และคุมเส้นทางในการลำเลียงขนไม้ออกไปขายอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย นอกจากนี้ ยังยุยงให้ชาวบ้านคนอื่นๆ เข้าฮุบที่ดินวัดด้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น พวกเราจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ไขปัญหา และให้ดำเนินการเอาผิดกับนายตำรวจคนดังกล่าว พร้อมย้ายออกจากพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 เป็นการด่วน” นายประสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เดิมทีวัดป่าธรรมดา และบ้านคึมมะอุ เป็นชุมชนที่สงบสุข ไม่มีปัญหาอาชญากรรม ยาบ้า และความขัดแย้ง เนื่องจากพระครูพิพิธธรรมรส เจ้าอาวาส เป็นพระนักพัฒนา ได้จัดทำโครงการหมู่บ้านปลอดอบายมุข, โครงการคืนผืนป่าให้แผ่นดิน 270 ไร่ และสร้างบ้านพักเกษตรกร 45 หลัง พร้อมหอประชุมใหญ่ อ่างเก็บน้ำ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรคนยากจนให้เข้าไปทำมาหากินภายในบริเวณวัด จนได้รับการสนับสนุนงบประมาณกว่า 21 ล้านบาท จากมูลนิธิศาสนาฆาราวาส ริชโชโคเซไก ประเทศญี่ปุ่น นายประสิทธิ์ กล่าวในตอนท้าย