xs
xsm
sm
md
lg

รง.รองเท้าบุรีรัมย์เจ๊งเป็นลูกโซ่ แจ้งปิดอีก 2 แห่งเลิกจ้าง 800 คน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- โรงงานผลิตวัสดุรองเท้าที่บุรีรัมย์เจ๊งเป็นลูกโซ่ แจ้งปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานเพิ่มอีก 2 แห่ง รวมกว่า 800 คน ในเดือน พ.ย.นี้ เบื้องต้นผู้ประกอบการพร้อมจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานลูกแจ้งกว่า 17 ล้านบาท เผยก่อนหน้านี้ได้มีบริษัทวัสดุรองเท้าประกาศปิดกิจการไปแล้ว 1 แห่ง มีแรงงานกว่า 670 คน ระบุ ทั้งบริษัท 3 แห่งผลิตป้อนรายใหญ่ บริษัท ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จ.ฉะเชิงเทรา ในเครือสหยูเนี่ยน ที่จะปิดกิจการสิ้นปีนี้ ทางด้านอุตฯสิ่งทอชัยภูมิกระทบหนัก แต่ยังอึดไม่ถึงขั้นวิกฤต ชี้ผู้ประกอบดิ้นใช้กลไก “คลัสเตอร์” ร่วมมือกันฝ่าช่วงเศรษฐกิจเลวร้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดบุรีรัมย์ ว่า โรงงานผลิตวัสดุประกอบรองเท้า บริษัท บุรีรัมย์ ยูเนี่ยน ชู จำกัด สาขา อ.ลำปลายมาศ และสาขาละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ รวม 2 แห่ง ได้แจ้งหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงานกว่า 800 คน หลังได้รับผลกระทบจากบริษัท ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด จ.ฉะเชิงเทรา ในเครือสหยูเนี่ยน ที่จะปิดกิจการในสิ้นปี 2550

เบื้องต้นบริษัท บุรีรัมย์ ยูเนี่ยน ยอมจ่ายเงินชดเชย เป็นเงินค่าตอบแทนวันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าจ้างวันหยุดประจำปีที่ยังไม่ได้ลา ให้แก่พนักงานและลูกจ้างเป็นเงินกว่า 17 ล้านบาท จะมีผลในเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งบริษัทอ้างว่าสาเหตุที่ปิดกิจการ เพราะการผลิตประเภทกิจการรองเท้ามีการแข่งขันสูง ทำให้มีกำไรน้อย ขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ รวมทั้งได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข่งค่าและผันผวน ทำให้บริษัทไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการต่อไปได้

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ได้มี บริษัท บ้านไผ่ ยูเนียน ฟุทแวร์ จำกัด อ.พุธไธสง จ.บุรีรัมย์ ผู้ผลิตวัสดุประกอบรองเท้า ได้แจ้งปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงานไปแล้ว 1 แห่ง กว่า 670 คน ซึ่งบริษัทเตรียมจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานและลูกจ้างทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 10 ล้านบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคมนี้ บริษัท บ้านไผ่ ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ ได้ดำเนินกิจการมากว่า 4 ปี เป็นบริษัทที่รับผลิตวัสดุประกอบรองเท้าให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ คือ บริษัท ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด จ.ฉะเชิงเทรา ในเครือสหยูเนี่ยน ที่จะปิดกิจการในสิ้นปี 2550 เช่นเดียวกับกรณีของบริษัทบุรีรัมย์ ยูเนี่ยน ที่แจ้งปิดกิจการ 2 แห่งล่าสุด

นายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวขณะนี้แรงงานส่วนหนึ่งได้มีโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อ.พุทไธสง และ อ.ลำปลายมาศ ซึ่งเป็นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า พร้อมที่จะรับเข้าทำงานต่อ ส่วนที่ยังไม่มีงานทำได้สั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลด้านสวัสดิการต่างๆ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน อย่างเป็นธรรม พร้อมทั้งจัดหาตำแหน่งงานว่างให้แก่แรงงานถ้าหากแรงงานต้องการ เพื่อคลายความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวแล้ว

ทางด้าน นางน้องนุด เขตร์กลาง อายุ 41 ปี 1 ในพนักงานบริษัท บ้านไผ่ ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า หลังทราบว่า ทางบริษัทจะปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน ตนกับเพื่อนพนักงานอีกหลายคนก็รู้สึกใจหาย เพราะต่างก็มีครอบครัวมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งงานในปัจจุบันก็หายาก และไม่อยากไปทำงานนอกพื้นที่ เพราะไม่มีใครดูแลลูก 2 คน สามีเองก็ต้องทำงานหาเงินช่วยกัน ถึงแม้บริษัทยืนยันจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามสิทธิของแรงงาน แต่ก็ไม่อยากให้ปิดกิจการอยากจะทำงานที่โรงงานต่อ เพราะทำมานานและมีความชำนาญไม่อยากจะเปลี่ยนงาน

อย่างไรก็ตาม หลังบริษัทประกาศจะปิดกิจการ ตนก็จำเป็นต้องไปสมัครงานที่โรงงานอื่นในพื้นที่ทิ้งไว้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะได้รับคัดเลือกเข้าทำงานหรือไม่ หากไม่ได้เข้าทำงานจริงก็คงต้องหางานอื่นทำ เช่น งานรับจ้างทั่วไป หรือกรรมกรก่อสร้าง เพราะไม่มีความรู้ความสามารถด้านอื่นเลย

อุตฯสิ่งทอชัยภูมิยังอึดไม่ถึงขั้นวิกฤต

นายธีวรา วิตนากร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นจังหวัดที่กำหนดให้อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของจังหวัด และได้รับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนสูงสุด จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและค่าเงินบาทแข็งตัว ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชัยภูมิอย่างแน่นอน แต่ในภาพรวมสถานการณ์ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ จ.ชัยภูมิ ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพราะผู้ประกอบการในชัยภูมิทั้งรายเก่าและรายใหม่ ที่มีอยู่ประมาณ 40 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้า หรือการ์เมนท์ เพื่อการส่งออกกว่า 22 ราย และอุตสาหกรรมด้านเนตติ้ง (ทอเสื้อไหมพรม) กว่า 12 ราย มีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ได้รวมตัวกันเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสิ่งทอ ถือเป็นจังหวัดนำร่องแห่งแรกของประเทศไทย

ทั้งนี้ โรงงานต่างๆ ได้มีการปรึกษาหารือร่วมกันเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และข้อมูล ซึ่งถ้าผู้ประกอบการใดมีปัญหาก็จะร่วมมือช่วยเหลือกันประคับประคองให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้

รวมทั้งกลุ่มคลัสเตอร์สิ่งทอจังหวัดชัยภูมิ ยังได้รวบรวมปัญหาและข้อเสนอต่างๆ ส่งไปยังรัฐบาล ผ่านทางสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเฉียงเหนือ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยด้วย

“ผู้ประกอบการสิ่งทอชัยภูมิราว 40 ราย ทั้งรายใหญ่ กลาง และเล็ก ได้พยายามช่วยเหลือกันเอง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ช่วยแชร์ออเดอร์ไปจ้างผู้ประกอบรายเล็กในพื้นที่ที่มีปัญหาให้ช่วยผลิต เพื่อจะได้มีงานมีเงินหมุนเวียนในการจ้างพนักงาน ประคับประคองกิจการให้พ้นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้ไปได้ ซึ่งคาดว่าเมื่อมีการเลือกตั้ง และได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้ว จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจไทยกลับมาอีกครั้ง” นายธีวรา กล่าว

นายสมชัย กิจมีรัศมีโยธิน ประธานสภาอุตสากรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า จากการที่ได้ร่วมหารือกันของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอใน จ.ชัยภูมิ ล่าสุด พบว่า ยังคงมีออเดอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีการเลิกจ้างงาน เพียงแต่ปัจจุบันประสบภาวะค่าเงินบาทแข็งตัว ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นส่งสินค้าออกได้เงินน้อยลง จึงจำเป็นที่ผู้ประกอบการทุกรายต้องปรับตัวบริหารจัดการลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้สูงมากขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายทั้งพนักงาน เจ้าของกิจการต้องร่วมมือกัน และเชื่อว่าจะสามารถฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้

อย่างไรก็ตาม ด้านกลไกรัฐเอง รัฐบาลต้องหามาตรการเร่งด่วนเข้ามาเสริมและช่วยเหลือไปพร้อมกันด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบครั้งใหญ่และรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยร่วมกัน โดยเฉพาะการทำให้เกิดเสถียรภาพของค่าเงินก่อนที่จะแข็งค่าผันผวนมากขึ้นไปกว่านี้ จนกระทั่งผู้ประกอบการแรงงานไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ซึ่งแนวทางค่าเงินบาทนั้น ผู้ประกอบการเห็นว่าอัตราที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น