ตาก - กรมส่งเสริมสหกรณ์ส่งเจ้าหน้าที่สอบข้อเท็จจริง "ผักกางมุ้งพบพระ" สรุปเสนออธิบดีฯจันทร์ที่ 18 มิ.ย.ย้ำหากรัฐผิดพลาดพร้อมเสนอคณะกรรมการบริหารสินเชื่อแห่งชาติยกหนี้ให้หมด หลังเกษตรกรทำเรื่องร้องซ้ำ
รายงานข่าวจาก อ.พบพระ จ.ตาก แจ้งว่า หลังจาก "ผู้จัดการรายวัน" นำเสนอเรื่องเงื่อนงำโครงการส่งเสริมปลูกผักปลอดสารเพื่อการท่องเที่ยว ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ฯ - กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณี "ผักกางมุ้งพบพระ" ไปแล้วนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2550 นายบุญโชว์ สมทรง ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบการบริหารการจัดการสหกรณ์ พร้อมคณะจำนวน 10 คน ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับคณะกรรมการสหกรณ์ อ.พบพระ จ.ตาก และสมาชิกกลุ่มผู้ปลูกผักกางมุ้ง ปลอดสารพิษ ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการผักกางมุ้งปลอดสารพิษ อ.พบพระ จ.ตาก ณ สหกรณ์ฯพบพระ
นายบุญโชว์ เปิดเผยว่า เป็นการเดินทางมาเพื่อรับทราบข้อมูล นำเรียนอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในวันจันทร์ ที่ 18 มิถุนายน 50 เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาเสนอต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป เบื้องต้นนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้แก้ปัญหาอย่างรอบคอบ ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคณะกรรมการและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสมาชิกผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ จะสรุปหาข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุด รวมทั้งดูถึงความล้มเหลวของโครงการ จนกลายเป็นปัญหามีการฟ้องร้องกัน ซึ่งบางส่วนอาจมีข้อผิดพลาดจากผลการดำเนินการ เช่น กลไกการตลาด ปัญหาการขนส่งที่ไม่คุ้มเพราะในพื้นที่ดังกล่าวมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพียงไม่กี่ราย ผลผลิตไม่มาก ที่สำคัญไม่มีการประกันราคา หากมีการประกันราคาจะทำให้โครงการเป็นไปได้
ส่วนทางออกของปัญหา หากพบว่าเป็นความผิดพลาด จากการดำเนินโครงการของภาครัฐก็อาจจะมีการยกเลิกหนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารสินเชื่อแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นอำนาจของผู้บริหารระดับสูงในการเสนอพิจารณาต่อไป
ก่อนหน้านี้กลุ่มเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบ นำโดยนายลิขิต วรศิริ ประธานกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 เพื่อขอความเป็นธรรมและยกเลิกหนี้สินเกษตร โครงการปลูกผักกางมุ้งปลอดสารพิษ
ทั้งนี้ ได้ระบุว่า เมื่อปี 2541 ได้มีเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ นำโดยนายประทิน ศุภนคร รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในขณะนั้น พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมฯ หลายคน และนายแผ่เกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา สหกรณ์จังหวัดตาก นางเพลินจันทร์ จันทร์เจริญ สหกรณ์อำเภอพบพระ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของ บริษัทเอกชนได้มาชักชวนเกษตรกรอำเภอพบพระ เข้าร่วมโครงการปลูกผักกางมุ้งปลอดสารพิษ ในปีท่องเที่ยวไทย ปี พ.ศ. 2541 มีเจ้าหน้าที่นักวิชาการมาอบรมเรื่องการดูแลรักษาโรคแมลง และมีบริษัทเอกชนมาดูแลเป็นพี่เลี้ยง-รับซื้อผลผลิต
ตามข้อตกลงคราวนั้น ผลผลิตที่ได้จะบรรจุถุงติดตรารับรองคุณภาพจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ และจะมีรถห้องเย็นมาบรรทุกถึงไร่เกษตรกร กำหนดราคาไว้ว่า ผักคะน้า กิโลกรัมละ 12 บาท กะหล่ำปลี กิโลกรัมละ 12 บาท ผักกวางตุ้ง มะเขือ กิโลกรัมละ 8 บาท เมื่อปลูกแล้วจะได้น้ำหนักไร่ละ 1.5-2 ตัน กะหล่ำปลีจะได้ถึง 5 ตันต่อไร่ แต่ต้องซื้อมุ้งคลุมแปลงในราคาหลังละ 16,500 บาท คลุมเนื้อที่ 2 งาน จากบริษัทเอกชนที่ร่วมโครงการ เพราะมีคุณภาพและถูกต้อง โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จะสนับสนุนเงินกู้ให้ดำเนินการกู้ผ่านสหกรณ์การเกษตรจำกัด
ในครั้งนั้น รองอธิบดีฯ ได้พูดน่าเชื่อถือมาก ทำให้พวกเกษตรกรเข้าใจว่า ภาคราชการมาช่วยเหลือเกษตรกร จึงมีความหวัง จึงรวมกลุ่มกันและสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร จำกัด จำนวน 29 คน กู้เงินและค้ำประกันในกลุ่ม โดยกู้เงินกับสหกรณ์การเกษตรพบพระ จำกัด ที่จะถูกหักค่าซื้อมุ้งหลังละ 16,500 บาท และค่าสมัครสมาชิก 500 บาท ก่อนทันที เมื่อได้รับมุ้งมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของ บริษัทเอกชนมาจัดใบตารางการปลูกผัก ช่วยแนะนำวิธีการครอบมุ้งให้จนเสร็จ
หลังจากนั้นพวกเกษตรกรก็ได้ปลูกผักตามที่ได้รับการอบรมมา เมื่อผลผลิตออกแล้ว ปรากฏว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เจ้าหน้าที่ของบริษัท ซีพี ฯ มาดูแล หรือรับซื้อ และไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
นายลิขิต วรศิริ ประธานกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบ ได้ชี้แจงอีกว่า หลังจากนั้นพวกตน ต้องนำผักไปขายให้พ่อค้าทั่วไป แต่ก็ไม่ได้ราคาที่ต้องการ เนื่องจากพ่อค้าไม่ต้องการผักกางมุ้ง เพราะเน่าง่าย การขนส่งลำบาก จึงต้องจำใจขายในราคากิโลกรัมละ 2 บาท ทำให้พวกตนต้องขาดทุน เป็นหนี้สินจากโครงการดังกล่าว ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว มีหนี้สิน หากพวกตนทำการปลูกผักอย่างเดิมก็ไม่ต้องมีภาระหนี้สิน และไม่ต้องเสียชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้เป็นความเดือดร้อนที่ได้รับจากโครงการฯมานานหลายปี แม้จะเคยทำหนังสือขอยกเลิกและขอความช่วยเหลือไปหลายครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 แต่ทางราชการและบริษัทเอกชน ก็เงียบหายไป จนเมื่อเดือนมีนาคม 2550 สหกรณ์การเกษตรพบพระจำกัด ได้ฟ้องร้องเรียกเงินกู้จากพวกเกษตรกรในกลุ่มทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับ จนทำให้มีหนี้สินที่ต้องชำระจำนวนมาก
จึงขอความเป็นธรรมจากอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาวิธีแก้ไข บรรเทาความเสียหาย ให้แก่เกษตรกร คนยากจน โดยพวกตนเห็นว่าเป็นโครงการนำร่องของทางราชการ เมื่อเกิดความผิดพลาดของทางราชการ ควรที่จะรับผิดชอบในความเสียหายด้วย อีกทั้งพวกตนไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญา แต่ถูกหลอกลวง จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และบริษัทเอกชน จนหมดเนื้อหมดตัว มีหนี้สินผูกพันจำนวนมาก ซึ่งทางออกของปัญหาควรยกเลิกหนี้ดังกล่าว ซึ่งต้นเหตุที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากพวกเกษตรกร แต่มาจากคนของรัฐ ซึ่งในส่วนนี้ต้องอยู่ที่อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่จะให้ความเป็นธรรมแก่พวกตนต่อไป