ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ ดอดให้ปากคำตำรวจ กรณีถูกผู้ต้องหาซัดทอดคดีติดสติกเกอร์ โจมตีผู้สมัครนายกเทศมนตรี แต่สุดท้ายเปลี่ยนใจหนีกลับ เพราะไม่ต้องการตอบคำถามนักข่าวที่รอออยู่เต็มโรงพัก ขณะที่พนักงานสอบสวนยืนยันยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าว เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
จากกรณีตำรวจเชียงใหม่จับกุม นายการุณ ศิรินุภาพงษ์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/1 ชุมชนทิพย์เนตร ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พร้อมสติกเกอร์ข้อความ “ลาออกแล้ว กลับมาทำไม” กว่า 100 แผ่น ขณะกำลังทำการติดปิดทับลงบนป้ายหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ หมายเลข 1 บริเวณชุมชนหัวฝาย ในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2550
ทั้งนี้ ได้ดำเนินคดีในข้อหาใส่ร้ายหรือจูงใจ ให้ประชาชนเกิดเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้สมัคร ซึ่งผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพ พร้อมซัดทอดอ้างว่า ได้รับการว่าจ้างจาก นายสุนทร ยามศิริ หรือ “เฮียหน่อ” อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ วันละ 200 บาท ให้นำสติกเกอร์มาติดทับป้ายผู้สมัครนั้น
รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ได้ออกหมายเชิญตัว นายสุนทร มาสอบถามเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมและชี้แจงข้อเท็จจริง จากกรณีที่ถูกผู้ต้องหากล่าวอ้างว่าเป็นผู้ว่าจ้างในคดีดังกล่าวในวันนี้ (14 มิ.ย.)
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายสุนทร ได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อพบพนักงานสอบสวนตามหมายเชิญตัว อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า เมื่อนายสุนทรเห็นมีผู้สื่อข่าวจำนวนมากมารอทำข่าวอยู่ ทำให้ นายสุนทร หลีกเลี่ยงที่จะพบหรือพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ด้วยการนั่งอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัว และตัดสินใจเดินทางกลับ โดยไม่ได้พบพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พ.ต.ท.สามารถ บุญตันสา พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า การเชิญตัว นายสุนทร มาในวันนี้ (14 มิ.ย.) ไม่ได้เป็นการเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการเชิญตัวมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น เนื่องจากเป็นผู้ที่ถูกต้องหาซัดทอดถึง
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนใดๆ ว่า นายสุนทรเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย มีแต่เพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งการที่ นายสุนทร เดินทางกลับไปก่อนในวันนี้ ทำให้คงจะต้องมีการเชิญตัวมาใหม่อีกครั้ง
ขณะที่ พ.ต.ท.มงคล สัมภวะผล รองผู้กำกับการฝ่ายสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้มีการเน้นย้ำกำชับกับพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ให้เก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างละเอียดรอบด้าน เนื่องจากมีความเป็นห่วงว่าคดีดังกล่าวนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมือง
จากกรณีตำรวจเชียงใหม่จับกุม นายการุณ ศิรินุภาพงษ์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/1 ชุมชนทิพย์เนตร ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พร้อมสติกเกอร์ข้อความ “ลาออกแล้ว กลับมาทำไม” กว่า 100 แผ่น ขณะกำลังทำการติดปิดทับลงบนป้ายหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ หมายเลข 1 บริเวณชุมชนหัวฝาย ในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2550
ทั้งนี้ ได้ดำเนินคดีในข้อหาใส่ร้ายหรือจูงใจ ให้ประชาชนเกิดเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้สมัคร ซึ่งผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพ พร้อมซัดทอดอ้างว่า ได้รับการว่าจ้างจาก นายสุนทร ยามศิริ หรือ “เฮียหน่อ” อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ วันละ 200 บาท ให้นำสติกเกอร์มาติดทับป้ายผู้สมัครนั้น
รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ได้ออกหมายเชิญตัว นายสุนทร มาสอบถามเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมและชี้แจงข้อเท็จจริง จากกรณีที่ถูกผู้ต้องหากล่าวอ้างว่าเป็นผู้ว่าจ้างในคดีดังกล่าวในวันนี้ (14 มิ.ย.)
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายสุนทร ได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อพบพนักงานสอบสวนตามหมายเชิญตัว อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า เมื่อนายสุนทรเห็นมีผู้สื่อข่าวจำนวนมากมารอทำข่าวอยู่ ทำให้ นายสุนทร หลีกเลี่ยงที่จะพบหรือพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ด้วยการนั่งอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัว และตัดสินใจเดินทางกลับ โดยไม่ได้พบพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พ.ต.ท.สามารถ บุญตันสา พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า การเชิญตัว นายสุนทร มาในวันนี้ (14 มิ.ย.) ไม่ได้เป็นการเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการเชิญตัวมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น เนื่องจากเป็นผู้ที่ถูกต้องหาซัดทอดถึง
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนใดๆ ว่า นายสุนทรเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย มีแต่เพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งการที่ นายสุนทร เดินทางกลับไปก่อนในวันนี้ ทำให้คงจะต้องมีการเชิญตัวมาใหม่อีกครั้ง
ขณะที่ พ.ต.ท.มงคล สัมภวะผล รองผู้กำกับการฝ่ายสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้มีการเน้นย้ำกำชับกับพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ให้เก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างละเอียดรอบด้าน เนื่องจากมีความเป็นห่วงว่าคดีดังกล่าวนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมือง