xs
xsm
sm
md
lg

ชาวบุรีรัมย์ จี้ ผู้ว่าฯ สอบ “ช้างทรง ร.1” หันผิดทิศ – เชื่อ “เนวิน” สั่งแก้จนเพี้ยน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนบุรีรัมย์ ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เรียกร้องสอบสวนการจัดสร้างอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ผิดแบบเดิมของกรมศิลป์ และผิดจารีตประเพณี เชื่อ “เนวิน” สั่งเปลี่ยนทิศการหันหน้าของช้างศึก เหตุกลัวเสียฮวงจุ้ยที่ดินตัวเอง ซ้ำเกิดปัญหาตัวช้างขึ้นสนิมเขรอะ หวั่นสวาปามจนส่วนผสมสำริดไม่ถูกต้อง จี้ พ่อเมืองบุรีรัมย์แก้ไขด่วน

ตัวแทนเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2550 เรียกร้องให้มีการสอบสวนดำเนินการแก้ไขปรับปรุงอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ให้ถูกต้องตามแบบแผนและจารีตประเพณี

เนื้อความในหนังสือดังกล่าว สรุปได้ว่า เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนฯ ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบิดเบือนแบบแผนและจารีตประเพณี ในโครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งประดิษฐาน ณ สี่แยกกลางเมืองบุรีรัมย์

โครงการจัดสร้างอนุสาวรีย์ดังกล่าว เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2538 ก่อนถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช จะเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 50 ปี ในปี พ.ศ.2539 โดยประชาชนชาวบุรีรัมย์ได้เห็นพ้องกันในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระผู้ทรงก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของพระผู้ทรงก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์ และเพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และมหาจักรีบรมราชวงศ์

ในเบื้องต้นประชาชนชาวบุรีรัมย์และชาวไทย ผู้ร่วมจิตศรัทธาได้ร่วมกันบริจาคเงินจำนวน 8 ล้านบาท จังหวัดบุรีรัมย์ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนอีก 7 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 15 ล้านบาท จากนั้นรัฐบาลได้มอบหมายให้จังหวัดบุรีรัมย์เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และกรมศิลปากรดำเนินการออกแบบก่อสร้างและประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์กลางเมืองบุรีรัมย์ ณ บริเวณสี่แยกถนนสายบุรีรัมย์ – ประโคนชัย ตัดกับถนนสายบุรีรัมย์ – สตึก บนพื้นที่ประมาณ 350 ตารางเมตร

กรมศิลปากรได้ออกแบบก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขนาดเท่าครึ่งขององค์จริง โดยปั้นพระบรมรูปฉลองแบบนักรบตามขัตติยราชประเพณี ประทับอยู่บนคอช้างศึก หล่อด้วยโลหะสำริด ตั้งอยู่บนฐานกว้าง 4 เมตร ยาว 8.80 เมตร สูง 10 เมตร โดยกำหนดให้ช้างศึกหันหน้าไปทางอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ (ทิศใต้) เพื่อ “ตัดไม้ข่มนาม” ตามความเชื่อแต่โบราณ เพราะเป็นที่ทิศที่อยู่ใกล้กับประเทศกัมพูชามากที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2538 พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เพื่อทรงวางศิลาฤกษ์พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหาราช ณ สี่แยกกลางเมืองบุรีรัมย์ โดย นายพร เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ขณะนั้น เป็นผู้กราบบังคมทูลรายงาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2539 ปรากฏว่า การก่อสร้างไม่ตรงกับรูปแบบที่กำหนดไว้ กล่าวคือ มีการหันหน้าช้างศึกไปทางศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ (ทิศเหนือ) ส่วนพระบรมรูปก็ผิดตำแหน่ง คือ ประดิษฐานอยู่บนกลางช้าง และเอากลางช้างมานั่งคอช้างแทน ซึ่งผิดหลักการศึกและเป็นหมิ่นพระเกียรติยศอย่างยิ่ง โดยสาเหตุนั้น มีการกล่าวขานกันว่า หากสร้างตามรูปแบบที่กำหนดให้ช้างศึกหันหน้าไปทางอำเภอประโคนชัย (ทิศใต้) จะเป็นทิศทางที่ตรงกับบ้าน นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งได้รับฟังความเชื่อของกลุ่มผู้เลี้ยงช้าง ว่า หากช้างศึกหันหน้าไปทางใด บริเวณนั้นจะไม่เป็นมงคล ก่อให้เกิดอาเพศและความเสียหาย จึงได้มีการวิ่งเต้นกดดัน ให้กรมศิลปากรเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้าง โดยมิได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2539 นายศักดิ์ชัย เตชะเกรียงไกร ประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์ ในขณะนั้น ได้เข้าแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายนิคม มุสิกคามะ อธิบดีกรมศิลปากร ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดย พ.ต.อ.ประสิทธิ์ ทำดี ผกก.สภ.อ.เมืองบุรีรัมย์ เป็นผู้รับแจ้ง นอกจากนี้ ยังมีบุคคลหลายฝ่าย ไม่เห็นด้วยกับพฤติการณ์ของกรมศิลปากรและเรียกร้องให้มีการแก้ไขพระบรมราชานุสาวรีย์ ให้ถูกต้องตามแบบแผน เช่น นายเทพมนตรี ลิมปพะยอม นักประวัติศาสตร์ นายวิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ อาจารย์สถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ และแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 (ขณะนั้น) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวก็ค่อยๆ เงียบหายไป จนขณะนี้ได้มีผู้สังเกตเห็นว่า “ช้างศึก” ในพระบรมราชานุสาวรีย์เริ่มเป็นสนิมผุกร่อน จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า หากกรมศิลปากรก่อสร้างตามแบบ คือ หล่อด้วยโลหะผสมสำริดตามสัดส่วนที่ถูกต้อง จะไม่เกิดสนิมอย่างแน่นอน

เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ จึงเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการ 3 ข้อ คือ 1.ขอให้ดำเนินการหรือเสนอให้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องและ/หรือชี้นำการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์อย่างผิดรูปแบบที่กำหนดไว้ โดยมิได้ขอพระบรมราชานุญาตก่อนการเปลี่ยนแปลงแก้ไข อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และหมิ่นพระเกียรติยศแห่งองค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์

2.ขอให้ดำเนินการหรือเสนอให้มีการตรวจสอบ ว่า การหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ได้ใช้โลหะผสมสำริดตามสัดส่วนที่ถูกต้องหรือไม่ หากพบว่ามีการทุจริตประพฤติมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ก็ขอให้ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

และ 3.ขอให้ดำเนินการหรือเสนอให้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพระบรมราชานุสาวรีย์ให้ถูกต้องตามแบบแผนดั้งเดิม เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของพระผู้ทรงก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์ เนื่องในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา

สำหรับตัวแทนเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ลงนามในหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้ ประกอบด้วย นายวุฒิพงษ์ เหลืองอุดมชัย องค์การผู้ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ จ.บุรีรัมย์ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี “ยามเฝ้าแผ่นดิน” บุรีรัมย์ นายชู สมพงษ์พันธุ์ เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน จ.บุรีรัมย์ นายปราโมทย์ หอยมุกข์ เครือข่าย “มวลชนคนหนองกี่” นายศรีเมือง วัฒนาชีพ เครือข่ายพลังแผ่นดินบุรีรัมย์ ดร.กริชเทพ อุปจันทร์ ชมรมทหารกองหนุน จ.บุรีรัมย์ และนายประเทือง ปรัชญพฤทธิ์ ชมรมคนรักษ์สตึก



กำลังโหลดความคิดเห็น