หนองบัวลำภู- ปธ.กก.โรงเรียนแถลงขับผู้อำนวยการ เก็บค่าเรียนแพง ยื่น 3 ข้อ ให้พ้นจากโรงเรียนถาวร แจ้งความดำเนินคดีอาญา และให้ตรวจสอบหาความผิดเพิ่ม ระบุ เรียกเก็บเงินค่าเล่าเรียนแพงเกินเหตุ ขัดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการสร้างความเดือดร้อนให้แก่นักเรียน-ผู้ปกครอง ด้านเจ้าตัวบอกทำไป เพราะต้องการพัฒนาเทคโนโลยีให้โรงเรียน และพร้อมชี้แจงให้ผู้ปกครองเข้าใจ
วันนี้ (18 เม.ย.) นายไพรัช นุชิต อายุ 56 ปี อดีต ส.ส.จังหวัดหนองบัวลำภู และเป็นประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เปิดแถลงข่าวขึ้นที่บ้านเลขที่ 125 ม.8 บ.นาแค ต.ลำภู อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู โดยมีผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนหนองบัวลำภูกว่า 50 คน เข้าร่วมฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย
นายไพรัช เสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร ประการแรก ให้ย้าย นายวีระ พรหมภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างถาวรไม่ให้กลับมาเป็นอีก เหตุผล เพราะประพฤติเสื่อมเสียต่อจรรยาบรรณ สร้างความเสียหายให้แก่โรงเรียน
ประการที่สอง ให้ ผอ.สพท.หนองบัวลำภู เขต 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชาและผู้เสียหาย แจ้งความดำเนินคดีอาญากับ นายวีระ ในข้อหายักยอกทรัพย์ของโรงเรียน ตามที่ได้ดำเนินการทางวินัยมาก่อนหน้านี้แล้ว ในกรณีที่นำถังน้ำและลวดหนามของโรงเรียนไปใช้เป็นการส่วนตัว
ประการที่สาม คือ หลังจากที่ย้าย นายวีระ ออกจากโรงเรียนหนองบัวพิทยาคารแล้ว ให้ดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตของ นายวีระ ในประเด็นอื่นๆ เนื่องจากมีปัญหาความไม่โปร่งใสที่หมักหมมภายในอีกมาก
นายไพรัช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องที่ตนและผู้ปกครอง ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยัง คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเรื่องการรับนักเรียนของ ร.ร.หนองบัวพิทยาคาร ที่เก็บค่าเล่าเรียนแพงเกินเหตุ โดยเก็บเงินค่าเล่าเรียนจากนักเรียนเข้าใหม่ในวันรับสมัครชั้น ม.1 จำนวนถึง 4,600 บาท และชั้น ม.4 เป็นเงิน 5,100 บาท
นักเรียนที่ไปสมัครเข้าเรียนจะต้องชำระเงินครั้งแรกเป็นเงิน 2,000 บาท ก็จะได้รับคูปองเป็นจำนวนเงินดังกล่าว หากไม่ชำระส่วนนี้ก็จะไม่มีสิทธิสมัครเข้าเรียนได้ โดยจำนวนเงินส่วนนี้แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายวันรับสมัคร 7 รายการ คือ คู่มือนักเรียน 100 บาท วารสารโรงเรียน 150 บาท กระเป๋าตราโรงเรียน 200 บาท สมุดตราโรงเรียน 200 บาท ชุดพละตราโรงเรียน 300 บาท เข็มตราโรงเรียน 20 บาท และซีดี สื่อเทคโนโลยี อีก 1,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้นักเรียนเข้าชั้น ม.1 ไม่ค่อยมีปัญหา
สำหรับชั้น ม.4 นักเรียนหลายคนเป็นศิษย์เก่ามีของเก่าอยู่แล้ว ถามโรงเรียนว่าไม่ซื้อได้ไหมก็บอกว่าไม่ได้ต้องซื้อ แต่ที่ข้องใจ คือ ซีดีสื่อเทคโนโลยี ทำไมถึงแพงถึงชุดละ 1,000 บาท ทั้งๆ ที่ต้นทุนแค่ 65 บาทเท่านั้น นักเรียนนำไปเปิดดูก็ไม่ได้
นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้เรียกเก็บเงินจ่ายในวันมอบตัว ระบุว่า เป็นเงินบำรุงการศึกษาตามโครงการ มี 5 รายการ คือ บัตรประจำตัวนักเรียน อีการ์ด 200 บาท บริการระบบสาธารณูปโภคภายในโรงเรียนตลอดหลักสูตร 300 บาท พัฒนาระบบไอซีที เพื่อการเรียนการสอน 1,500 บาท เรียนคอมพิวเตอร์และใช้บริการอินเทอร์เน็ตตลอดหลักสูตร 1,000 บาท และเงินประกันชีวิต 100 บาท โดยเงินส่วนนี้ให้นักเรียนไปชำระที่ธนาคารกรุงไทย ก่อนนำหลักฐานการชำระเงินมาแสดงในวันมอบตัว
นายไพรัช กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ทั้งผู้ปกครอง และคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน เห็นว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น และขัดต่อนโยบายและมาตรการในการรับนักเรียน นักศึษา พ.ศ.2550 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อ 3 การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบริการในการจัดการศึกษาเป็นการพิเศษ หรือค่าใช้จ่ายใด ๆในการจัดการศึกษาเพิ่มเติม ให้พิจารณาถึงความเหมาะสม ประโยชน์ที่จะได้รับและมีความจำเป็นอย่างแท้จริงเท่านั้น
นอกจากนี้ เพื่อมิให้เป็นภาระแก่ผู้ปกครองมากเกินไป ห้ามมิให้สถานศึกษาเรียกเก็บเงินดังกล่าวในช่วงระยะเวลาที่สถานศึกษาเปิดรับนักเรียนนักศึกษา เพราะว่าการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ โรงเรียนได้ดำเนินการกับนักเรียนมากน้อยเพียงใด เสียงสะท้อนของนักเรียนเรียกว่าแทบจะไม่ได้ใช้เลย
การเรียกเก็บเงินในส่วนนี้ มีข้อมูลว่า โรงเรียนกำลังจะจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กถึงกว่า 400 เครื่อง ถามว่า มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดและจะใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้โดยเร็ว
ขณะที่ผู้ปกครองนักเรียน นางอภิญญา หาญวงษ์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/1 ม.11 บ.ลำภู ต.ลำภู อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เล่าว่า ลูกสาวของตนเข้าเรียนชั้น ม.4 ได้จ่ายเงินเข้าเรียนไปแล้ว 5,100 บาท ตนเห็นว่าเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไป ได้ไปสอบถามกับโรงเรียนชื่อดังอย่าง ร.ร.อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี ก็เก็บค่าเล่าเรียนเพียงสองพันกว่าบาท ทั้งๆ ที่เป็นโรงเรียนชั้นนำมีมาตรฐานการศึกษาสูง
ส่วนที่ ร.ร.หนองบัวพิทยาคาร ปีการศึกษา 2549 ก็เก็บเพียงสองพันกว่าบาท แต่ปีนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวก็เท่ากับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ปกครองเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ตนเห็นว่าโรงเรียนควรจะ
คืนเงินที่เกินไปกลับมาให้นักเรียนทุกคนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“น่าแปลกก็ตรงที่โรงเรียนเรียกเก็บเงินกับนักเรียนที่ผู้ปกครองไม่ใช่ข้าราชการ ส่วนลูกข้าราชการไม่เรียกเก็บถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ”
ด้าน นายวีระ พรหมภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนี้ตนมีคำอธิบายที่ชัดเจน โดยในวันที่ 3 และ 4 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเป็นวันปฐมนิเทศนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 จะได้ชี้แจงให้นักเรียนและผู้ปกครองได้รับทราบข้อเท็จจริงถึงการเก็บค่าเล่าเรียนดังกล่าว ซึ่งตนขออบกว่าที่เรียกเก็บเงินดังกล่าวนั้นเพราะโรงเรียนกำลังพัฒนาการเรียนการสอน
โดยเฉพาะด้านไอทีและเทคโนโลยี ตอนนี้โรงเรียนมีคอมพิวเตอร์พีซีอยู่ถึง 650 เครื่อง รองรับการเรียนการสอนของนักเรียนเรียนำสมัยที่สุด ดีกว่าโรงเรียนชั้นนำอีกหลาย
จังหวัด การเรียนการสอนในด้านนี้ก็เพื่อพัฒนานักเรียนให้ดียิ่ง ขึ้นก้าวทันเทคโนโลยี และเตรียมที่จะจัดหาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอีก 450 เครื่อง ซึ่งกำลังพิจารณาที่มีมาตรฐานดีที่สุดแต่ราคาถูกที่สุดมา เพื่อรองรับกับการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่โรงเรียนติดตั้งแล้วเสร็จพร้อมให้บริการนักเรียนแล้ว ซึ่งลำพังจะรองบประมาณสนับสนุนย่อมไม่เพียงพอ ก็ต้องอาศัยการสนับสนุนในส่วนนี้
สำหรับเงินส่วนที่เรียกเก็บดังกล่าว มียอดทั้งหมดประมาณ 3.2 ล้านบาท ขณะนี้ยังไม่ได้
ใช้แม้แต่บาทเดียว หากว่าผู้ปกครองต้องการก็ต้องคืนให้ทั้งหมด ซึ่งการพัฒนาที่ได้วางโครงการไว้แล้วก็คงจะไม่ได้ดำเนินการต่อ
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น นายวีระ บอกว่าเป็นความขัดแย้งภายในโรงเรียน เรื่องการย้ายอาจารย์ในโรงเรียนให้ตรงกับสายงาน ซึ่งเป็นปัญหาเดิม ๆ จนมีเรื่องร้องเรียนฟ้องร้องกันมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 จึงมีการพยายามที่จะทำให้ตนเองมีปัญหา ก็ขอบอกว่าถ้าผู้ปกครองคนไหนคิดว่าเป็นปัญหาขอให้บอกตนจะรับฟังและนำไปแก้ไข แต่ก็อยากให้มองดูการพัฒนาด้านการเรียนการสอนของนักเรียน ซึ่งเป็นลูกหลานคนหนองบัวลำภู ว่าจะพัฒนากันอย่างไรต่อไปในอนาคต
นายธนากร งามชมภู ผอ.สพท.หนองบัวลำภู เขต 1 เปิดเผยว่า ทราบปัญหาของโรงเรียนหนองบัวพิทยาคารแล้ว แต่ก็รอดูว่าทางคณะกรรมการสถานศึกษาจะเรียกร้องมาอย่างไร ซึ่งทั้ง 3 ข้อเรียกร้องนั้นตนเองยังไม่ได้รับ ซึ่งกรณีของ นายวีระมีเรื่องร้องเรียนมาเมื่อปี 2549 และได้ดำเนินการทางวินัยไปแล้วโดยตัดเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเวลา 2 เดือน จากกรณีนำครุภัณฑ์ของโรงเรียนไปใช้ส่วนตัว และเกี่ยวกับจรรยาบรรณในวิชาชีพ ซึ่งก็ผ่านขั้นตอนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนประเด็นการเก็บค่าเล่าเรียนสูงเกินไป ได้พูดคุยกับนายวีระแล้ว ซึ่งนายวีระ บอกว่าเป็นการดำเนินการหลังจากที่รับนักเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเรียกเก็บเงินกับนักเรียนตามโครงการพัฒนาของโรงเรียน การเก็บเงินดังกล่าวไม่ได้ชี้แจงให้ผู้ปกครองและนักเรียนเข้าใจดีพอ อาจจะทำให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนนี้
ซึ่งขณะนี้ตนได้สั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง รายงานให้ทราบภายใน 15 วัน ถึงจะดำเนินการกันต่อไป