ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พิพากษาสั่งจำคุกเสี่ยเจ้าของท่าทราย อดีตผู้สมัคร ส.ส.ดัง เป็นเวลา 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา พร้อมสั่งปรับห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีรัมย์ทรายเพชร 10,000 บาท ฐานลักลอบดูดทรายในลำน้ำมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
วันนี้ (5 เม.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.นายวิโรจน์ ชัชวาลวงศ์ อัยการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายวิเชียร พรมพันธุ์ รองอัยการจังหวัด เจ้าของสำนวน ได้ส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดพิจารณาสั่งฟ้อง ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีรัมย์ทรายเพชร จำเลยที่ 1 และนายชาญ นามพิชญ์ อายุ 49 ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย และพรรคมหาชน 2 สมัย หุ้นส่วนผู้จัดการ ที่บังอาจร่วมกันใช้เรือลักลอบดูดทรายในลำน้ำมูล บริเวณ ม.2 ต.นิคม อ.สตึก โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์พิพากษาตัดสิน จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิวรรคสอง พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2535 มาตรา 120 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ซึ่งเป็นโทษสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับเป็นเงิน 10,000 บาท และลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ซึ่งจำเลยทั้งสองสามารถมีสิทธิยื่นอุทรณ์ได้ภายในเวลากำหนด อย่างไรก็ตาม จำเลยได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ต่อไป
นายวิโรจน์ เปิดเผยอีกว่า คดีดังกล่าวอัยการได้ให้ความสำคัญจึงได้สั่งฟ้อง เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้เรือลักลอบดูดทรายในลำน้ำมูล ซึ่งเป็นแม่น้ำอันเป็นที่ดินของรัฐ ที่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ประกาศห้ามมิให้บุคคลใดกระทำการใดๆ ทำให้เสื่อมสภาพดิน หิน กรวด และทราย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในการสัญจร อุปโภค จับสัตว์น้ำ และใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งความเสียหายดังกล่าวไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลให้พิจารณาลงโทษสถานหนัก
ด้าน นายวิเชียร พรมพันธุ์ รองอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน กล่าวว่า ทางสำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ได้เลือกปฏิบัติทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา นักธุรกิจ หรือประชาชนทั่วไป และในคดีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ประกอบการ หรือนักธุรกิจ พึงสังวรไว้ว่า การประกอบธุรกิจ ควรจะกระทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ และประโยชน์ของส่วนรวมอย่างเด็ดขาด
วันนี้ (5 เม.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.นายวิโรจน์ ชัชวาลวงศ์ อัยการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายวิเชียร พรมพันธุ์ รองอัยการจังหวัด เจ้าของสำนวน ได้ส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดพิจารณาสั่งฟ้อง ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีรัมย์ทรายเพชร จำเลยที่ 1 และนายชาญ นามพิชญ์ อายุ 49 ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย และพรรคมหาชน 2 สมัย หุ้นส่วนผู้จัดการ ที่บังอาจร่วมกันใช้เรือลักลอบดูดทรายในลำน้ำมูล บริเวณ ม.2 ต.นิคม อ.สตึก โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์พิพากษาตัดสิน จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิวรรคสอง พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2535 มาตรา 120 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ซึ่งเป็นโทษสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับเป็นเงิน 10,000 บาท และลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ซึ่งจำเลยทั้งสองสามารถมีสิทธิยื่นอุทรณ์ได้ภายในเวลากำหนด อย่างไรก็ตาม จำเลยได้ขอยื่นประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ต่อไป
นายวิโรจน์ เปิดเผยอีกว่า คดีดังกล่าวอัยการได้ให้ความสำคัญจึงได้สั่งฟ้อง เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้เรือลักลอบดูดทรายในลำน้ำมูล ซึ่งเป็นแม่น้ำอันเป็นที่ดินของรัฐ ที่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ประกาศห้ามมิให้บุคคลใดกระทำการใดๆ ทำให้เสื่อมสภาพดิน หิน กรวด และทราย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในการสัญจร อุปโภค จับสัตว์น้ำ และใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งความเสียหายดังกล่าวไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลให้พิจารณาลงโทษสถานหนัก
ด้าน นายวิเชียร พรมพันธุ์ รองอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน กล่าวว่า ทางสำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ได้เลือกปฏิบัติทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา นักธุรกิจ หรือประชาชนทั่วไป และในคดีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ประกอบการ หรือนักธุรกิจ พึงสังวรไว้ว่า การประกอบธุรกิจ ควรจะกระทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ และประโยชน์ของส่วนรวมอย่างเด็ดขาด