ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - พ่อค้าลำไยอบแห้งไทย-จีน วอนระงับประมูลขายลำไยอบแห้งตกค้าง ปี 2546 และปี 2547 จำนวน 6.7 หมื่นตัน เหตุผลผลิตเกือบทั้งหมด เสื่อมคุณภาพ และมีสินค้าค้างเก่าอยู่ในตลาดมากพอแล้ว แถมผลผลิตปี 50 จ่อออกสู่ตลาดอีกร่วมแสนตัน หวั่นวงจรตลาดถูกทำลายส่งผลราคาตกต่ำซ้ำซาก ขณะที่ “เสธ.ม่อย” เสนอบดทำลายหน้าโกดัง พร้อมขายทิ้งทันที พร้อมตั้งข้อสังเกตราคาเปิดประมูลสูงเกินจริง เชื่อ หากมีผู้ยื่นซองคงทำไปเพื่อกลบเกลื่อนความผิด ย้ำต้องมีการตรวจนับสต็อกละเอียด ถ้าพบขาดหายต้องดำเนินคดีทันที
วันนี้ (19 ม.ค.)นายชาง ย่งหลิน นายกสมาคมลำไยอบแห้งไทย-จีน และนายประเทือง คงรอด ประธานกลุ่มพัฒนาผู้ปลูกลำไยเพื่อการส่งออกภาคเหนือ พร้อมด้วยกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตลำไย และผู้ประกอบการค้าลำไยอบแห้ง รวมประมาณ 30 คน ได้เข้าพบพลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงใหม่ ประธานคณะกรรมการการปกครอง วุฒิสภา ที่บ้านพักส่วนตัวใน ต.ช้างเผือก อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้ช่วยยับยั้งการเปิดประมูลขายลำไยอบแห้งค้างสต็อกปี 2546 และปี 2547 รวมจำนวน 67,447 ตัน ที่จะมีการยื่นและเปิดซองประมูลในวันที่ 23 มกราคม 2550 เนื่องจากเกรงว่าจะมีการนำลำไยอบแห้งไร้คุณภาพเข้าไปปะปนในท้องตลาด และทำให้เกิดภาวะราคาลำไยอบแห้งตกต่ำซ้ำซาก
นายกสมาคมลำไยอบแห้งไทย-จีน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และไม่ต้องการให้มีการเปิดประมูลขายลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 เพราะลำไยอบแห้งดังกล่าวกว่าร้อยละ 50 เสื่อมคุณภาพไปแล้ว หากนำไปขายในตลาดจีนจะยิ่งทำให้ผู้บริโภคหมดความเชื่อมั่นในคุณภาพลำไยอบแห้งไทย ซึ่งเป็นการทำลายตลาดในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังจะยิ่งทำให้มีผลผลิตเก่าคงค้างสะสมอยู่ในตลาดเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากขณะนี้มีลำไยอบแห้งปี 2549 รอขายอยู่ในตลาดจีนอยู่แล้วประมาณ 1.8 หมื่นตัน หากนำลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ออกไปสมทบอีกจะทำให้มีลำไยอบแห้งเก่าคงค้างอยู่ในตลาดจีนรวมกว่า 50,000 ตัน ดังนั้น หากลำไยอบแห้งปี 2550 ที่คาดว่า จะมีประมาณ 100,000 ตันออกสู่ตลาดอีกก็ยิ่งทำให้เกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด และราคาลำไยอบแห้งตกต่ำอย่างหนักแน่นอน เพราะมีปริมาณผลผลิตเกินความต้องการของผู้บริโภค และที่สำคัญ ลำไยอบแห้งส่วนหนึ่ง ยังเป็นผลผลิตที่ไร้คุณภาพ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอีกด้วย
“การทำลายลำไยอบแห้งที่ตกค้างทั้งหมด น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการแก้ไขปัญหา เพราะมันเสื่อมคุณภาพแล้ว หากนำออกขายจะทำให้ผู้บริโภคจีนหมดความเชื่อมั่นในคุณภาพลำไยไทย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อตลาดลำไยไทยในภาพรวมและระยะยาว ที่ผ่านมา ในประเทศจีนเคยพบกรณีผู้บริโภคลำไยอบแห้งที่เสื่อมคุณภาพ และมีสารปนเปื้อนจนเสียชีวิตมาแล้ว จึงไม่อยากให้เกิดกรณีนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะกับลำไยอบแห้งไทย” นายชาง ย่งหลิน กล่าว
ขณะที่ พลตรี อินทรัตน์ กล่าวว่า มั่นใจว่า รัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และไม่ต้องการให้เกษตรกรผู้ผลิตลำไยประสบปัญหาราคาตกต่ำ ทั้งนี้ เชื่อว่า ราคาประมูลลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ที่กำหนดไว้เกรด AA กิโลกรัมละ 33 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 17 บาท และเกรด B กิโลกรัมละ 12 บาท น่าจะเป็นกุศโลบายที่ไม่ต้องการจะขายลำไยอบแห้งดังกล่าวอยู่แล้ว เพื่อเก็บไว้รอทำลาย เพราะเป็นราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง
ดังนั้น หากมีเอกชนรายใดที่ยื่นประมูลลำไยอบแห้งจากโกดังใดๆ ก็ตาม ก็น่าเป็นที่เชื่อได้ว่าอาจจะเป็นการดำเนินการเพื่อกลบเกลื่อนความผิดหรือไม่ เนื่องจากในโกดังนั้นๆ อาจจะไม่มีลำไยอบแห้งอยู่ครบตามจำนวน เพราะมีการลอบนำออกขายไปแล้ว ซึ่งในกรณีที่มีผู้ประมูลได้เสนอว่า จะต้องมีการตั้งกรรมการตรวจสอบ ประกอบด้วย ฝ่ายทหารและเกษตรกร เพื่อตรวจนับลำไยอบแห้งในโกดังที่ถูกประมูลว่าอยู่ครบหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าไม่ครบต้องให้ตัวแทนเกษตรกรเข้าแจ้งความดำเนินคดีทันที
สำหรับในกรณีที่ในวันที่ 23 มกราคม นี้ ไม่มีผู้ประมูลลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ได้ เห็นว่า ควรจะต้องมีการทำลายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตตกค้างอยู่อีกต่อไป โดยเสนอว่าให้มีการเปิดโกดังเก็บลำไยอบแห้งทุกแห่ง เพื่อตรวจนับว่าครบตามจำนวนหรือไม่ และทำลายหน้าโกดังจัดเก็บเพื่อความโปร่งใสเลย ด้วยการใช้เครื่องบดแล้วเปิดขายลำไยอบแห้งที่ถูกบดทำลายแล้วให้พ่อค้าทันที เพื่อนำไปผลิตลำไยกวน ลำไยแท่ง ทำปุ๋ย หรือผลิตไบโอดีเซล
ในขั้นตอนนี้ควรจะมีการเชิญเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย และสื่อมวลชนจีนเข้าร่วมเป็นสักขีพยานด้วยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ว่า จะไม่มีลำไยอบแห้งตกค้างและไร้คุณภาพ วนเวียนเข้าสู่วงจรค้าลำไยอีก ทั้งนี้ หากทำลายลำไยอบแห้งดังกล่าวแล้ว ก็จะทำให้เกษตรกรได้รับคืนเงินประกันคุณภาพจำนวนกว่า 86 ล้านบาทคืน พร้อมทั้งทำให้รัฐมีรายได้จากการขายลำไยอบแห้งที่ถูกทำลาย โดยหากขายกิโลกรัมละ 2 บาท ก็จะมีรายได้ทั้งสิ้นประมาณ 134 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับการขายกล่องและถุงบรรจุลำไยแล้ว น่าจะเป็นเงินรวมไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าวนี้ได้มีการทำหนังสือ เสนอให้ประธานกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 รวมทั้งแม่ทัพภาคที่ 3 พิจารณาแล้ว
ด้านนายประเทือง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งปี 2546และปี 2547 เปิดให้มีการลงทะเบียนรับฟังการชี้แจงรายละเอียด และเงื่อนไขการประมูลเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2550 จากการสังเกตการณ์พบว่าผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงดังกล่าวหลายรายเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีดำการค้าลำไยอบแห้งของทางราชการ ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่จะเข้าร่วมการประมูลส่วนหนึ่งน่าจะมีเจตนาที่ไม่โปร่งใส ซึ่งจะต้องมีการจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะมีการเปิดประมูลขายลำไยอบแห้งดังกล่าวนี้ เพราะมองว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำไม่สิ้นสุด