ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - โรคเรื้อนระบาด 4 จังหวัดอีสานล่าง พบผู้ป่วยแล้วร่วม 200 ราย ขณะที่โคราชพบผู้ป่วยรายใหม่พุ่งอีก 34 ราย รวมกับที่ขึ้นทะเบียนไว้เป็น 62 ราย ด้าน สสจ.นครราชสีมา เร่งรณรงค์ตามโครงการณรงค์ประชาร่วมใจกำจัดโรคเรื้อน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว มุ่งเน้นให้ชุมชนช่วยกันป้องกัน กำจัดการแพร่ระบาดให้หมด หากพบผู้ป่วยให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรักษาโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้นาน จะเกิดความพิการและแพร่ระบาดไปยังคนใกล้ชิดได้
วันนี้ (12 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมสีมาธานี อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายพงษ์ศิริ กุสุมภ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย นพ.สำเริง แหยงกระโทก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา, นพ.สมชาย ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 (ผอ.สคร.5) นครราชสีมา และ นายถาวร สมบูรณ์วงษ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนป่วยโรคเรื้อน จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกันแถลงข่าว โครงการรณรงค์ประชาร่วมใจกำจัดโรคเรื้อนในพื้นที่อำเภอ ที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขของจังหวัดนครราชสีมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี (ปรร.60)
ทั้งนี้ เพื่อลดและกำจัดการแพร่ระบาดของโรคเรื้อนในชุมชนให้หมดไป และให้ชุมชนตระหนัก เข้าใจปัญหาโรคเรื้อน ลดการรังเกียจผู้ป่วยและครอบครัว โดย จ.นครราชสีมา มีเป้าหมายที่จะจัดรณรงค์ทุกอำเภอ เน้นอำเภอ ตำบล หมู่บ้านที่เคยมีผู้ป่วย 10 ปีย้อนหลัง จำนวน 147 หมู่บ้าน พร้อมตรวจคัดกรองโรคซ้ำในผู้ป่วยที่รักษาหาย และผู้ขึ้นทะเบียนเฝ้าระวังจำนวน 120 คน
ในวันที่ 20 ก.พ.ที่ อบต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา จะมีการจัดอบรม พร้อมฝึกปฏิบัติการค้นหาผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนัง ผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้ที่อาศัยรอบบ้านผู้ป่วยรัศมี 100 เมตรให้ครอบคลุม และในวันที่ 9 มิ.ย.2550 จะมีการจัดเวทีรวมพลังประชาชน ทำความดีถวายในหลวง โดยดำเนินการกำจัดโรคเรื้อนตามพระราชดำริ ถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ที่หอประชุมเปรม ติณสูลานนท์
ด้าน นพ.สมชาย ตั้งสุภาชัย ผอ.สคร.5 นครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคเรื้อนในเขตตรวจราชการสาธารณสุขที่ 13 เขตจังหวัดอีสานตอนล่าง ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา, บุรีรัมย์, ชัยภูมิ และสุรินทร์ พบว่า ในปี 2549 มีผู้ป่วยโรคเรื้อนขึ้นทะเบียนรักษา 182 ราย คิดอัตราความชุก 0.28 รายต่อหมื่นประชากร เป็นผู้ป่วยใหม่ 68 ราย โดยมีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นเด็ก 3 ราย ผู้ป่วยใหม่ที่พิการระดับ 2 (มือกุด เท้ากุด ตาบอด) จำนวน 7 ราย ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากอัตราความพิการของผู้ป่วยเกรด 2 เกินกว่าร้อยละ 10
ขณะที่ นพ.สำเริง แหยงกระโทก นายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์โรคเรื้อน ในจังหวัดนครราชสีมา ว่า จากข้อมูลในปี 2547 มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนจำนวน 138 ราย โดยจากดำเนินการตรวจสอบข้อมูล การสำรวจครอบครัวผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมดและการ ติดตามผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างครบถ้วนและหายขาด พบผู้ป่วยคงเหลือขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2548 จำนวน 28 ราย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2547-30 ก.ย.2549 ได้ทำการค้นหาผู้ป่วยใหม่เชิงรุกรอบที่ 1 ในหมู่บ้านที่เคยพบผู้ป่วย 3 ปีย้อนหลัง พบผู้ป่วยรายใหม่ 10 ราย ขยายการค้นหาเพิ่มในกลุ่มเป้าหมายหมู่บ้านที่เคยมีผู้ป่วยย้อนหลัง 5 ปี พบผู้ป่วยรายใหม่อีก 24 ราย รวม 34 ราย
ฉะนั้นจังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยโรคเรื้อนทั้งที่เป็นผู้ป่วยรายใหม่ และที่ขึ้นทะเบียนไว้รวมทั้งสิ้นจำนน 62 ราย คิดเป็นอัตราความชุกของโรคเรื้อน 0.24 ต่อหมื่นประชากร (องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ทุกพื้นที่มีอัตราความชุกโรคเรื้อนไม่เกิน 1 ต่อหมื่นประชากร) ไม่มีพื้นที่อำเภอใด มีอัตราความชุกมากกว่า 1 ต่อหมื่นประชากร
อำเภอที่มีอัตราความชุกของผู้ป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ อ.ประทาย (0.62/หมื่นประชากร), ห้วยแถลง (0.52), กิ่ง อ.สีดา (0.42), กิ่ง อ.เทพารักษ์ (0.40) และ อ.โนนแดง (0.38)
นพ.สำเริง กล่าวอีกว่า โรคเรื้อนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium leprae ซึ่งอาศัยอยู่ในเซลล์โดยเฉพาะเซลล์ประสาท และเซลล์ระบบ ซึ่งเชื้อโรคเรื้อนจะออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ เยื่อบุจมูก และทางผิวหนังที่แตกเป็นแผล วิธีการแพร่เชื้อที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ จากฝอยละออง ผ่านเยื่อบุจมูกออกมาในสิ่งแวดล้อมได้มากถึงวันละ 10 ล้านตัว เชื้อสามารถอยู่นอกร่างกายได้ 9 วัน ปัจจุบันเชื่อว่า การติดเชื้อเกิดขึ้นโดยทางระบบทางเดินหายใจไม่ได้เกิดจากทางพันธุกรรม ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือคลุกคลีกับผู้ป่วยจะเป็นผู้ที่มีโอกาสสูงที่จะได้รับเชื้อจากผู้ป่วย ระยะฟักตัวของโรคนาน 8-12 ปี จึงจะแสดงอาการ
อาการแสดงที่สำคัญทางผิวหนัง คือ วงด่างขาว ผื่นวงแดงรวบ ผื่นวงแหวน และผื่นนูนแดง กระจายตามร่างกาย มักมีอาการชาภายในผื่นร่วมด้วย บางกลุ่มมีตุ่มและผื่นนูนแดงขนาดต่างๆ จำนวนมากกระจายทั่วร่างกาย ไม่มีอาการคัน หากทิ้งไว้เส้นประสาทจะถูกทำลาย และเกิดความพิการที่ใบหน้า ตา มือ และเท้า
“ดังนั้น การเร่งค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนออกมารับการรักษาได้เร็ว สามารถรักษาหายขาดได้ภายใน 6 เดือน ถึง 2 ปี การกินยา 3 ครั้งแรก สามารถลดการแพร่เชื้อได้สูงถึงร้อยละ 99 และช่วยป้องกันความพิการได้”นพ.สำเริง กล่าวในตอนท้าย