ศูนย์ข่าวศรีราชา - กลุ่มโรงแรมในเครือบางแสน พร้อมลงทุนอีกพันล้านในปี 2550 เพื่อปรับปรุงโรงแรมในเครือ ทั้งเดอะไทด์ รีสอร์ท บางแสน บีช รีสอร์ท บางแสนวิลล่า และ เอส เอส บางแสน ให้มีความทันสมัยและสามารถรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้น โดยจะสร้างโรงแรมใหม่ขนาด 1และ 3 ดาว ในพื้นที่โรงแรมบางแสน บีช รีสอร์ท หลังได้รับการต่ออายุสัมปทานจาก ททท.อีก 30 ปี เพื่อรองรับกลุ่มผู้เข้าพักระดับกลาง-ล่าง ให้ได้เพียงพออีกด้วย ส่วนอาคารเดิมจะอนุรักษ์รูปแบบไว้ เพื่อปรับปรุงเป็นบูติกโฮเท็ล รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม กรรมการผู้จัดการกลุ่มโรงแรมในเครือบางแสน จังหวัดชลบุรี ที่ประกอบด้วย โรงแรมเดอะไทด์ รีสอร์ท โรงแรมบางแสน บีช รีสอร์ท โรงแรมบางแสนวิลล่าและโรงแรมเอส เอส บางแสน เผยถึงแนวทางดำเนินงานของกลุ่มในปี 2550 ว่า จะเร่งพัฒนาโรงแรมต่างๆ ในเครือตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้มีศักยภาพในการรองรับงานบริการและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาท
ในส่วนแรกจะเร่งพัฒนาโรงแรมบางแสนบีช รีสอร์ท ที่ขณะนี้ได้รับการต่อสัญญาเช่าดำเนินการในอายุสัมปทาน 30 ปี จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และที่ผ่านมา ได้ยื่นแบบปรับปรุงแก้ไขในส่วนอาคารและการใช้สถานที่เพิ่มเติมเพื่อรอการอนุมัติ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้อย่างเร็วในเดือน ต.ค.2550
“โปรเจกต์นี้มีพื้นที่รวมทั้งหมด 44 ไร่ หลังจากได้รับการอนุมัติ ในส่วนแบบแปลนต่างๆ จาก ททท.ก็จะเริ่มพัฒนาในเฟสแรกที่จะมีการก่อสร้างโรงแรมระดับ 3 ดาว ขนาด 400 ห้อง ในรูปแบบของ All Sweat Hotel เพื่อให้เชื่อมต่อกับอาคารเก่าที่เปิดให้บริการมานานกว่า 50 ปี ซึ่งจะอนุรักษ์ตัวอาคารไว้และจะพัฒนาให้เป็นบูติกโฮเต็ล ในเฟสที่ 2 เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยโปรเจกต์แรกเรากำหนดการให้บริการในลักษณะของศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ในรูปแบบคอนเวนชันฮอลล์ เพื่อรองรับกลุ่มคนและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาทำกิจกรรมในเขตพื้นที่บางแสน นอกจากนั้น ยังจะเพิ่มในส่วนของศูนย์การค้าขนาดเล็กอีกด้วย”นายณรงค์ชัย กล่าวและว่า
ส่วนแผนพัฒนาในเฟสที่ 2 นอกจากการปรับปรุงอาคารเก่าให้เป็นบูติกโฮเท็ลแล้ว ยังจะก่อสร้างโรงแรมขนาด 1 ดาว ในรูปแบบของอาคารขนาดใหญ่ที่จะเปิดเป็นห้องพักที่มีเตียงติดกัน รองรับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมถึงการเข้ามาใช้สถานที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ที่มักจะนำกรุ๊ปสัมมนาเข้ามาทำกิจกรรม เช่นเดียวกับกลุ่มผู้เข้าพักที่มีรายได้ระดับปานกลางจนถึงระดับล่าง ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวดั่งเดิมของชายหาดบางแสน
ขณะที่บังกะโลจำนวนกว่า 30 หลัง ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ก็จะยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมดั่งเดิมไว้ แต่เพิ่มการพัฒนาในส่วนสระว่ายน้ำที่มีอยู่เดิม ร้าน อาหาร รวมทั้งกำหนดรูปแบบการบำบัดน้ำเสียใหม่และจัดสร้างสวนย่อมขนาดย่อมเพื่อให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย
นายณรงค์ชัย ยังเผยถึงการพัฒนาโรงแรมเอส เอส บางแสน ที่ตั้งอยู่บริเวณห้วโค้ง ก่อนเลี้ยวลงชายหาดแหลมแท่น ว่า หลังจากในปี 2548 ได้ปรับปรุงห้องอาหารหินทรายให้เป็นแบบ out door แล้วยังซื้ออาคารพาณิชย์โดยรอบจำนวน 8 ห้อง เพื่อเตรียมปรับให้เป็นบูติกโฮเต็ลจำนวน 30 ห้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบก่อสร้างและจะเริ่มดำเนินการในเดือนมี.ค. 2550 เพื่อให้แล้วเสร็จและสามารถเปิดดำเนินการได้ในเดือน ต.ค. 2550
ด้าน โรงแรมบางแสน วิลล่า ซึ่งตั้งอยู่ด้านตรงข้ามร้านอาหารปะการัง ที่มีแผนจะพัฒนาให้เป็นโรงแรม สำรับรองรับการสัมมนาแบบครบวงจร และยังมีแผนพัฒนาตึกเก่าที่เป็นอพาร์ตเมนต์จำนวน 20 ห้องใกล้กับโรงแรม ให้เป็นโรงแรมแบบร่วมสมัย ร่วมทั้งการปรับปรุงห้องพักด้านหลังจำนวน 51 ห้อง ซึ่งเป็นห้องพักที่เปิดให้บริการแบบค้างคืนและชั่วคราวนั้น ขณะนี้ได้ทำการรื้ออาคารเดิมไปแล้วถึง 70% คาดว่า น่าจะพัฒนาให้แล้วเสร็จก่อนเดือนมีนาคม 2550 ส่วนร้านอาหารสีคราม ก็จะต้องแต่งใหม่และพัฒนาพื้นที่ด้านบนให้เป็นจุดชมวิว สำหรับกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นผู้ใหญ่
สำหรับโรงแรมเดอะไทด์ รีสอร์ท ที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางแสน หลังจากที่ขยายห้องประชุมสัมมนาให้สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนาให้ได้มากถึง 1,700 คน จากเดิมที่รับได้เพียง 1,200 คนแล้ว ขณะนี้ยังเปิดให้บริการในส่วนเดอะไทด์ แอนด์ เบเกอรี่ คาเฟ่ เพื่อขายอาหารทั่วไปและได้ปรับปรุงให้เป็นร้านอาหารสองชั้น ส่วนในปี 2550 จะขยายพื้นที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ ให้สามารถรองรับกลุ่มผู้เข้ามาใช้บริการให้ได้มากยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันการพัฒนาในส่วนต่างๆ ของโรงแรมในเครือ เราได้ดำเนินการไปตามแผนแล้วประมาณ 15-20% โดยคาดว่าในปลายปี 2550 ภาพการขยายงานต่างๆ ของเราจะเห็นเป็นรูปธรรม เพราะจะมีหลายส่วนแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ ขณะที่ผลการดำเนินงานในส่วนโรงแรมทั้งหมดของเราในปี 2549 พบว่า ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ยอดการเข้าพักตกลงไปมาก ซึ่งก็เป็นผลมาจากปัญหาการเมืองและเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ก็คาดว่าเมื่อดูถึงผลประกอบการตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี 2549 จะไม่ตกไปกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้”นาย ณรงค์ชัย กล่าว