xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้องผู้ว่าฯกาฬสินธุ์คดีละเว้นหน้าที่ไม่มีมูล "วีระ"เผยหลังร่วมสางคดีอบต.ถูกมือดีป่วน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กาฬสินธุ์-"เคน หนองเสนา" ก.อบต.กาฬสินธุ์ตกเป็นจำเลยในคดีแจ้งมติเท็จพัวพันสินบน 300 ล้านบาทแล้ว ขณะที่ศาลยกฟ้องผู้ว่าฯเมืองน้ำดำและท้องถิ่นจังหวัด กรณีอดีตนายกอบต.ทุ่งคลองฟ้อง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เหตุคดีไม่มีมูล ด้านเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชันแฉ มือดีโทรศัพท์ป่วนการทำงาน

ความคืบหน้าคดีสินบนสอบอบต.ทุ่งคลอง มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท หลังจากที่มติ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ ยกเลิกผลสอบ อบต.ทุ่งคลอง ส่งผลให้ แก๊งสินบน ต้องงัดกลยุทธแก้ต่างต่อกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากเกรงว่าผู้เสียหายจะเดินทางเข้าแจ้งกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม
อีกทั้ง จนท.ปปช.-ปปง.ต่างเดินสายเข้ามาตรวจสอบ เพื่อดำเนินการตามกฏหมายอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะประเด็นการแจ้งความตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้ให้ ท้องถิ่นจังหวัดแจ้งความต่อ นายเคน หนองเสนา ก.อบต.สายผู้ทรงคุณวุฒิจังหวัดกาฬสินธุ์ แจ้งมติเท็จต่อ นายถาวร บุตรศรี อดีต นายก.อบต.ทุ่งคลองฯ ที่ยืดเยื้อยาวนาน

ทั้งนี้ เนื่องจากรอฟังผลจากอัยการจังหวัดเพื่อดำเนินการส่งฟ้อง อีกทั้งการรอฟังคำพิพากษาจากศาลกาฬสินธุ์ เกี่ยวกับ นายถาวร บุตรศรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกวี กิตติสถาพร ผวจ.กาฬสินธุ์ และนายโสภณ ชืเลืองฤทธิ์ ท้องถิ่นจังหวัด ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ล่าสุดวันนี้(31 ต.ค.)นายกวีพจน์ สุรนิจ ผู้พิพากษา ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ออกนั่งบัลลังก์ ห้องพิจารณา 4 อ่านคำพิพากษาคดีแดงที่ 3359/2549 คดีองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งคลอง โดยนายถาวร บุตรศรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกวี กิตติสถาพร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ จำเลยที่ 1 และนายโสภณ ชาเรืองฤทธิ์ ท้องถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นข้าราชการและมีฐานะเป็นประธานกรรมการ และเลขานุการ ของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดกาฬสินธุ์ หรือ ก.อบต .จังหวัดกาฬสินธุ์ ในความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากโจทก์ประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งเป็นพนักงาส่วนตำบลประจำปี 2548 โดยจัดสอบแข่งขันและประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันไว้ จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ประกาศยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขัน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ไม่มีอำนาจยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เพราะยังมิได้นำเรื่องเข้าพิจารณาใน ก .อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ก่อน

ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์โดยตลอดแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีโจทก์มีมูลตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสิธุ์ในขณะนั้น และมีฐานะเป็นประธานกรรมการ ของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดกาฬสินธุ์ หรือ ก .อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจพบการทุจริตในการสอบแข่งขันของโจทก์ ว่า มีการกระทำทุจริต

โดยผู้แทนของโจทก์ คือ คณะกรรมการดำเนินการสอบและคณะกรรมการตรวจข้อสอบที่โจทก์แต่งตั้งขึ้น โดยมิได้เกิดจากผู้เข้าสอบแข่งขัน กระทำทุจริตเองจึงมิอาจบังคับใช้ หลักเกณฑ์ข้อ 69 ของประกาศ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ได้

เมื่อผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำการทุจริตการสอบแข่งขัน มีนายถาวร บุตรศรี พันตำรวจโทจักริรัชต์ อินแปลง นายฉัตรชัย เยื้องกลาง และว่าที่ร้อยตรี สุรสิทธิ์ ศิริ เป็นกรรมการใน ก. อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ด้วย ทำให้ ก.อบต. จังหวัดกาฬสินธุ์ที่มีบุคคลดังกล่าวเป็นกรรมการ เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่อาจทำการพิจารณาทางปกครอง หรือลงมติเพื่อให้มีผลใดๆ เกี่ยวกับการบรรจุและแต่งตั้งพนักงานส่วนตำบล ในการสอบแข่งขันของโจทก์ อันเป็นการออกคำสั่งทางปกครองได้ เพราะถือว่าเป็นคู่กรณีเอง ตามมาตรา 13(1) 21 และ 50 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

ดังนั้น การที่นายกวี หรือจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ต่อจากนายนิรันดร์ ในฐานะประธาน ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์และจำเลยที่ 2 ในฐานะเลขานุการ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ มิได้นำเรื่องเข้าบรรจุและแต่งตั้งพนักงานส่วนตำบลของโจทก์ เข้าพิจารณาในการประชุม ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว แม้เลขานุการ ก.อบต.จะได้มีหนังสือตอบข้อหารือของประธาน ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ว่า การที่จังหวัดกาฬสินธุ์ได้ตรวจพบการทุจริตในการสอบแข่งขันก็ให้นำเสนอ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อพิจารณาก็ตาม ก็เป็นเพียงคำเสนอแนะเท่านั้น

ทั้งคำเสนอแนะดังกล่าวก็มิได้ตอบให้ชัดแจ้งว่า กรณีที่กรรมการ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ กระทำการทุจริตด้วยตนเอง และยังจะต้องนำเรื่องเข้าพิจารณาใน ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์อีกหรือไม่ และกรณีดังกล่าว จะขัดกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 13 (1) หรือไม่

ดังนั้น การที่นายนิรันดร์ ในฐานะประธาน ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ใช้อำนาจตีความหรือวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ว่า กรณีการกระทำทุจริต โดยผู้แทนของโจทก์ คณะกรรมการดำเนินการสอบ และคณะกรรมการตรวจข้อสอบที่โจทก์ตั้งขึ้น ไม่อาจบังคับใช้หลักเกณฑ์ข้อ 69 ของประกาศ ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ได้ แล้วแจ้งให้นายอำเภอคำม่วงใช้อำนาจกำกับดูแลตามมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 สั่งยกเลิกการสอบแข่งขันของโจทก์ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว

หลังจากนั้น ปรากฏว่าโจทก์เอง ซึ่งได้ยกเลิกการสอบแข่งขันตามคำสั่งของนายอำเภอคำม่วงไปแล้ว กลับยกเลิกคำสั่งเดิม และยังออกคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งพนักงานส่วนตำบลของโจทก์เองโดยพลการ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ต่อจากนายนิรันดร์ จึงย่อมมีอำนาจที่จะแจ้งให้นายอำเภอทุกอำเภอทราบว่า เคยแจ้งให้นายอำเภอคำม่วงแจ้งให้โจทก์ยกเลิกบัญชีสอบแข่งขันทุกตำแหน่งแล้ว

ทั้งนี้ หากมีการบรรจุแต่งตั้งจากบัญชีสอบแข่งขันดังกล่าว ก็ขอให้แจ้งระงับไว้ แล้วรายงานให้จังหวัดทราบ อันสืบเนื่องจากโจทก์ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายอำเภอคำม่วง ที่สั่งการโดยชอบแล้วนั้นเอง จึงเป็นการปฎิบัติการตามหน้าที่โดยชอบแล้วเช่นกัน

ดังวินิจฉัยมา การกระทำของผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ไม่ว่านายนิรันดร์ หรือจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่า เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งคดีโจทก์จึงไม่มีมูล ที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณา ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง

ทั้งนี้ วันเดียวกันอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้สรุปสำนวน สั่งฟ้องนายเคน หนองเสนา ก.อบต.จังหวัดกาฬสินธุ์ สายผู้ทรงคุณวุฒิยังศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ฐานความผิดแจ้งมติที่ประชุมอันเป็นเท็จต่อ นายถาวร บุตรศรี อดีต นายก.อบต.ทุ่งคลอง อ.คำม่วง ทั้งนี้จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้นัดพร้อมสืบพยานในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ โดยนายเคน ฯ ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกับสื่อมวลชน

ด้าน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงความคืบหน้าภายหลังจากที่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการทุจริต องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมห้วยผึ้ง อ.ห้วยผึ้ง จ.กาฬสินธุ์ ว่า นับตั้งแต่ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอห้วยผึ้ง ปรากฏว่าได้มีโทรศัพท์ลึกลับอ้างว่าเป็นประชาชนจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ต้องการให้ ตนได้ตรวจสอบการทำงานของตัวเองโดยอ้างว่า ตนเองกำลังตกเป็นเครื่องมือของ ผู้ว่าราชการจังหวัด และสื่อมวลชน

"ตนจึงได้ตอบไปว่า บุคคลที่กำลังพูดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดหรือสื่อมวลชนกำลัง พูดกล่าวหาให้ร้าย ซึ่งข้อเท็จจริงในการเข้าตรวจสอบก็เนื่องจาก ตนเองได้รับข้อมูลและภายหลังจากตรวจสอบก็มีเอกสาร ที่ยืนยันในแต่ละคดีจึงได้เข้าไปดำเนินการแจ้งความ ไม่ว่าจะเป็นคดีทุ่งคลองหรือแม้แต่นิคมห้วยผึ้ง ดังนั้นหากบุคคลที่พูดคุยกับตน ต้องการให้เบาะแสก็สามารถบอกมาได้เลยแล้วให้หาพยานหลักฐานมาหักล้าง ไม่ใช่มาพูดปลุกปั่นสร้างปัญหาให้กับท้องถิ่นเช่นนี้"

นายวีระ ระบุว่า ตนจะทำการติดตามคดีทุจริตทั้งสองคดี ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากความผิดที่ชัดเจนแต่มีความพยายามที่จะบิดเบือนความเป็นจริง อีกทั้งการสร้างบรรทัดฐานในสังคมจะต้องเกิดขึ้น เพราะขบวนการทุจริตในประเทศมีอยู่เป็นจำนวนมาก

กำลังโหลดความคิดเห็น