ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – ตำรวจเชียงใหม่เข้าตรวจสอบกะเหรี่ยงคอยาว ในสวนลำไยใกล้ปางช้างแม่สา หลังรับเรื่องร้องเรียนว่า มีการนำมาจัดแสดงโชว์นักท่องเที่ยวพร้อมเก็บค่าเข้าชม แต่ผู้ดูแลสวนนำหลักฐานจ้างแรงงานต่างด้าวมาแสดง ยืนยันว่าจ้างมาทำสวนเท่านั้น ขณะที่นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอนชี้ ผู้ประกอบการหัวหมออาศัยช่องว่างกฎหมายแรงงานต่างด้าวหากิน นำกะเหรี่ยงคอยาว ไปโชว์หลายพื้นที่แต่อ้างว่าเป็นแค่การจ้างแรงงาน
วันนี้ (30 ส.ค.) พ.ต.อ.ชำนาญ รวดเร็ว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสวนลำไยแห่งหนึ่ง ที่อยู่ด้านหลังปางช้างแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หลังได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว ว่า มีการนำกะเหรี่ยงคอยาวมาตั้งถิ่นฐานในลักษณะเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าเที่ยวนั่งหลังช้างชมวิถีชีวิตพร้อมทั้งเก็บค่าเข้าชม ซึ่งเกรงว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมาย และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากตามปกติกะเหรี่ยงคอยาว จะมีถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพียงแห่งเดียว หากออกนอกพื้นที่จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น
ทั้งนี้ จากการเข้าตรวจสอบพบกระท่อม 6 หลัง มีครอบครัวชาวกะเหรี่ยงคอยาวพักอาศัยอยู่ทั้งหมด 18 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 11 คน และเด็ก 5 คน โดยนายพิบูลย์ ชื่นธรรม อายุ 47 ปี ผู้ดูแลสวนดังกล่าวได้นำเอกสาร ใบอนุญาตทำงานของบุคคลต่างด้าวชาวพม่า ประเภททำงานสวน หรือใบ ทร.38/1 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ อ้างว่า ได้ว่าจ้างแรงงานต่างด้าวพม่าที่เป็นกะเหรี่ยงคอยาวทั้งหมดมาทำงานสวนได้ประมาณ 2 เดือน
พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้มีการเก็บค่าเข้าชมจากนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด โดยคาดว่าจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะสวนแห่งนี้อยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านชาวไทยภูเขา จึงมีความเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวบางคนอาจจะเสียค่าเข้าชม แล้วเดินเลยเข้ามาในสวน และพบกะเหรี่ยงคอยาว จึงคิดว่าเป็นการจัดแสดงโชว์ ทั้งๆ ที่ความจริง เป็นเพียงการจ้างมาทำสวนลำไยเท่านั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงเดินทางกลับ
ด้าน นายสุพจน์ กลิ่นปราณีต นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า กะเหรี่ยงคอยาวที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถูกจัดให้เป็นคนต่างชาติผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การสหประชาชาติ ให้พักอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพบริเวณบ้านน้ำเพียงดิน บ้านเสือเฒ่า ตำบลผาบ่อง และบ้านในสอย ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 200 คน แต่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน กฎหมายแรงงานไทยได้อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวชาวพม่า
รวมทั้งกะเหรี่ยงคอยาวสามารถขออนุญาตทำงานได้ ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวบางรายฉกฉวยโอกาสอาศัยช่องว่างกฎหมายนำกะเหรี่ยงคอยาว มาจัดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแล้วเก็บค่าเข้าชมจากนักท่องเที่ยว โดยอ้างว่าจ้างกะเหรี่ยงคอยาวเข้ามาทำสวน ทำให้กะเหรี่ยงคอยาวจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการโยกย้ายออกไปอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด
ทั้งนี้ นอกจากกะเหรี่ยงคอยาวที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังพบว่ามีบางส่วนอพยพเข้ามาใหม่จากทางพม่าด้วย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า มีกะเหรี่ยงคอยาวอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่อาย และอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น โดยประเด็นนี้ได้รับการต่อต้านจากต่างชาติมาก เพราะมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเห็นว่ามีลักษณะเป็นเหมือนสวนสัตว์มนุษย์
ขณะที่ นางอรชร รัตนมณี จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวในจังหวัดเชียงใหม่ รวมประมาณ 46,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ต่ออายุทำงานประมาณ 35,000 คน และที่ขึ้นทะเบียนประกันตนใหม่อีกกว่า 10,000 คน ซึ่งแรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตทุกคนจะต้องไปรายงานตัว และถ่ายรูปทำประวัติที่ที่ว่าอำเภอ แล้วทางอำเภอจะออกใบ ทร.38/1 ให้ จากนั้นจึงนำมาขึ้นทะเบียนทำงานที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด เพื่อออกใบอนุญาตทำงาน ซึ่งในขั้นตอนนี้ไม่ได้มีการระบุว่าแรงงานต่างด้าว เป็นกะเหรี่ยงคอยาวหรือไม่ โดยเมื่อมีเอกสารมาจากทางอำเภออย่างถูกต้อง ทางสำนักงานจัดหางานก็ต้องออกใบอนุญาตทำงานให้
ส่วน นายจุณพงศ์ สาระนาค ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือเขต 1 ในฐานะนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์จังหวัดภาคเหนือ ยอมรับว่า เคยรับทราบว่า มีกลุ่มนายทุนนำกะเหรี่ยงคอยาว มาเปิดให้นักท่องเที่ยวเที่ยวชมในจังหวัดเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ททท.ไม่เคยสนับสนุน และหยิบยกเอามาเป็นจุดขายการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่เลย เนื่องจากเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นผลกระทบด้านลบต่อประเทศชาติด้วย ทั้งนี้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ไม่ให้สนับสนุนการกระทำในลักษณะนี้ ด้วยการไม่พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชม