ศูนย์ข่าวขอนแก่น- พัฒนาการเกษตรขอนแก่น ผู้ผลิตเครื่องนวดข้าวแบรนด์ “เกษตรพัฒนา” ปรับแผนธุรกิจ รุกตลาดส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน หลังตลาดในประเทศ เผชิญปัญหาแข่งขันสูง เผย ตลาดต่างประเทศตอบรับสูง จนผลิตไม่ทันความต้องการ พุ่งเป้ารุกตลาดต่างประเทศต่อ ชี้อุปสรรคน้ำมันพุ่ง กระทบต้นทุนผลิตสูง ร้องรัฐช่วยลดภาษีเหล็ก เพิ่มศักยภาพแข่งขันเครื่องจักรกลการเกษตรในตลาดส่งออก
นางสมิหลา หยกอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานพัฒนาการเกษตรขอนแก่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องนวดข้าว เปิดเผยถึงการดำเนินงานว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนการทำตลาดเครื่องนวดข้าวแบรนด์ “เกษตรพัฒนา” โดยเฉพาะตลาดรองรับสินค้า จากเดิมที่มุ่งเน้นผลิตป้อนตลาดภายในประเทศ จากกลุ่มลูกค้าเกษตรกรในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคอีสาน หันไปจับตลาดส่งออกในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
ตลาดในประเทศ มีการแข่งขันสูง ทั้งจากสินค้าคู่แข่งและเครื่องนวดข้าวมือสองที่ซื้อมาจากแหล่งอื่น รุกตีตลาด กอปรกับเครื่องจักรกลการเกษตรแต่ละชนิด มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเร็วมาก ต้องผลิตให้ทันกับรูปแบบการใช้งานที่เปลี่ยนแปลง โดยเครื่องนวดข้าว ต้องใช้แรงงานคน มาช่วยป้อนรวงข้าวใส่ในเครื่องจึงจะนวดข้าวได้ ซึ่งสินค้าใช้จ่ายเพิ่มและแรงงานหายาก
บริษัทฯ ได้ปรับทิศทางมาเน้นการทำตลาดส่งออกต่างประเทศ ลดความเสี่ยงธุรกิจ โดยมุ่งทำตลาดกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งในระยะเริ่มต้น มีสัดส่วนตลาดค่อนข้างต่ำ ประมาณ 5-10% เท่านั้น เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ โดยส่งออกผ่านตัวแทนจำหน่ายไปประเทศ ลาว กัมพูชา ศรีลังกา และมาเลเซีย
“ผลการทำตลาดส่งออก ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ประสบผลสำเร็จสูงมาก ยอดขายเครื่องนวดข้าวในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นตลาดหลัก มียอดขายมากกว่า 80% ของยอดขายเครื่องนวดข้าวทั้งหมดของบริษัทฯ โดยมีประเทศศรีลังกา เป็นประเทศที่สั่งสินค้ามากที่สุด เดิมยอดขายไม่ถึง 20 เครื่อง/ปี แต่ปี 2547 เป็นต้นมา ยอดขายเพิ่มสูงมาก ไม่น้อยกว่า 200 เครื่อง/ปี”นางสมิหลา กล่าวและว่า
สาเหตุที่ทำให้เครื่องนวดข้าวได้รับการตอบรับสูงในกลุ่มตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจาก กลุ่มลูกค้าที่ซื้อ นำเครื่องนวดข้าวไปรับจ้างนวดข้าวต่อ จึงเกิดรายได้คืนให้แก่เจ้าของเครื่องคิดเป็นรายได้สูงมาก ทำให้ความต้องการเครื่องนวดข้าวเกษตรพัฒนา ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว เครื่องนวดข้าวเกษตรพัฒนา จึงกลายเป็นสินค้าทุนที่ถูกสั่งซื้อไปสร้างรายได้
ขณะเดียวกัน ในแง่ของการพัฒนาด้านภาคเกษตร ประเทศศรีลังกา และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ มีพัฒนาการช้ากว่าประเทศไทยไม่น้อยกว่า 10 ปี เครื่องจักรกลการเกษตรหลายประเภท เพิ่งเข้าสู่ตลาด เข้าไปอำนวยความสะดวกและสร้างมูลค่าเพิ่มจัดการด้านการเกษตร ซึ่งเครื่องนวดข้าวเป็นเครื่องจักรกลการเกษตรอีกชนิด ที่สร้างความสะดวก ลดระยะเวลาทำงาน จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานพัฒนาการเกษตรขอนแก่น กล่าวว่า ยอดขายปี 2548 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่สามารถผลิตเครื่องนวดข้าวได้ทันต่อความต้องการในประเทศศรีลังกา เนื่องจากตลาดต้องการเครื่องนวดข้าว พร้อมกันจำนวนมาก ในช่วงระยะเก็บเกี่ยวข้าว แม้ว่าจะเร่งผลิตเต็มศักยภาพ ก็ไม่เพียงพอและทันกับความต้องการ ซึ่งตลาดขยายตัวสูง โดยสัดส่วนตลาดส่งออกมีมากกว่า 90%
สำหรับในปี 2549 นี้ ตลาดส่งออก ยังคงมีลู่ทางที่จะขยายตัวต่อไปอีก โดยเฉพาะตลาดประเทศศรีลังกา ความต้องการเครื่องนวดข้าวมีสูงมาก อีกทั้งประเทศอื่นก็มีลู่ทางขยายตัวเช่นกัน คาดว่า ยอดขายเครื่องนวดข้าว ในปี 2549 นี้ น่าจะเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา และสัดส่วนการส่งออก จะสูงกว่า 90%
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนทำตลาดส่งออกในเชิงรุก ด้วยการหาตลาดต่างประเทศรายใหม่เพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีพัฒนาการด้านการเกษตรล้าหลังกว่าไทย อาทิ ประเทศพม่า ซึ่งมีความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกลการเกษตร ขณะเดียวกันจะรุกตลาดเดิมที่ดำเนินการอยู่ อาทิ ในประเทศกัมพูชา ลาว เพราะมีลู่ทางที่จะขยายตลาดได้อีกมาก
ต้นทุนการผลิตสูง ร้องรัฐลดภาษีเหล็ก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาอุปสรรคในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลเกษตร ณ ปัจจุบัน กำลังประสบปัญหาต้นทุนการผลิตปรับตัวขึ้นสูงมาก แต่กลับไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนผลิตที่สูงขึ้นได้ เพราะตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรมีการแข่งขันสูง อีกทั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีศักยภาพในการซื้อค่อนข้างจำกัด หากปรับขึ้นราคา จะทำให้สินค้าเสียเปรียบ ในเชิงการแข่งขัน และเสียตลาดในที่สุด
“การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2547 จนทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลใกล้แตะ 29 บาท/ลิตรแล้ว กระทบต่อต้นทุนค่าขนส่งวัตถุดิบ และขนส่งสินค้าสูงขึ้นกว่าเท่าตัว ทั้งค่าน้ำมันมีผลให้ค่าจ้างแรงงานปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ และที่สำคัญ วัตถุดิบหลัก คือ เหล็กที่นำมาใช้ผลิต มีความผันผวนสูง และราคาเหล็กสูงมาก” นางสมิหลา กล่าวและว่า
กรณีของความผันผวนด้านราคาเหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักใช้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร อยากให้รัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือ ลดภาษีเหล็กที่นำไปใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรลงบ้าง เพื่อลดภาระต้นทุนค่าวัตถุดิบเหล็ก ในลักษณะเดียวกับที่ช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะเครื่องจักรกลการเกษตรถือเป็นสินค้าจำเป็นที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ อีกทั้งเครื่องนวดข้าวของบริษัทฯ มากกว่า 90% ส่งออกต่างประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศ
ทั้งนี้ การช่วยเหลือในด้านภาษีเหล็กของรัฐ ต่ออุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร จะทำให้ศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกลการเกษตร ของไทยในตลาดต่างประเทศ มีศักยภาพสูงขึ้น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น นอกจากทำให้โอกาสการทำตลาดส่งออก มีโอกาสขยายตัวสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้การจ้างงานในท้องถิ่นสูงขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น และเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศด้วย