xs
xsm
sm
md
lg

เสียงร้องจาก “เหยื่อโคลนถล่มอุตรดิตถ์”- 1 เดือนผ่านไป “รัฐช่วยช้า-เงินไม่ถึงมือ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อุตรดิตถ์ - “ผู้จัดการรายวัน” ได้สำรวจความช่วยเหลือหลัง 1 เดือนผ่านไป จากเหตุการณ์น้ำป่าทะลัก โคลนถล่ม คร่าชีวิตชาวอุตรดิตถ์ไปรวมร้อยราย สูญหายยังหาไม่พบอีกจำนวนมาก

ผลการสำรวจพบว่า ณ ลำห้วยน้ำลี ตลอดหุบเขาที่บ้านเรือนราษฎรใน ต.น้ำหมัน อ.ท่าปลา ถูกน้ำป่าทะลักเข้าท่วม และโคลนถล่มแทบยังไม่ได้รับช่วยเหลือและซ่อมแซมให้เข้าสู่ภาวะปกติ ภาพปรากฏที่ด้านหน้ายังเต็มไปด้วยซากต้นไม้ และดินโคลนถล่มเป็นระยะ

โดยเฉพาะถนนที่ใช้สัญจรยังขาดเป็นช่วงๆ เหมือนช่วงเกิดเหตุใหม่ๆ ประกอบกับถูกปริมาณน้ำฝนที่ตกซ้ำลงมาอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวันในช่วงนี้กัดเซาะถนนขาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ชาวน้ำลี” ยังติดเกาะ-จวกรัฐช่วยช้า

ย้อนกลับไปหลังเกิดอุทกภัยวันที่ 22-23 พ.ค.2549 หลายหน่วยราชการ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่ พร้อมทั้งรัฐบาลในรัฐบาลชุดนี้ พร้อมรับปากว่า “จะดำเนินช่วยเหลืออย่างเต็มที่” แต่การดำเนินการจน ณ วันนี้กลับเป็นไปอย่างล่าช้า เชื่อว่า ตลอดฤดูฝนนี้ชาวบ้านน้ำลี คงจะหมดสิทธิ์ได้ใช้ถนนสัญจรไป-มาเหมือนเคย

จะมีก็เพียงบ้านน้ำต๊ะ ต.น้ำหมัน เท่านั้นที่พอมีเครื่องจักรระดมเข้าไปดำเนินการ ทั้งนี้ เพราะที่บ้านน้ำต๊ะ เป็นเสมือนศูนย์กลางความช่วยเหลือที่กระจายสิ่งของบริจาคลงไปยังพื้นที่
ชาวบ้านน้ำลี บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ถนนเชื่อมระหว่างบ้านน้ำต๊ะและน้ำสี เสียหายหลายจุด บางแห่งที่ทำไปรถยนต์ไม่สามารถสัญจรได้ หน่วยงานราชการทำได้ก็แค่ทางเบี่ยง น้ำป่ามาก็พังแล้ว
นางสวาท พันห้วยเสียม 1 ในเหยื่ออุทกภัย บ้านเลขที่ 87 หมู่ 6 บ้านน้ำลี ต.น้ำหมัน อ.ท่าปลา ได้บอกถึงความทุกข์ร้อนที่ได้รับเป็นรายแรก ว่า เพื่อนบ้านเสียชีวิตไป 15 คน พบศพ 5 ราย มี 200 กว่าครอบครัวต้องเดือดร้อน เวลานี้ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือกรณีบ้านเสียหายบางส่วน ส่วนบ้านที่เสียหายทั้งหลังได้ไปแล้วรายละ 30,000 บาท ขณะที่พื้นที่ไร่-นา-สวน เสียหายยังไม่ได้รับการชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับ นายสมจิตร ยะตัน บ้านเลขที่ 129 ม.6 บ้านน้ำลี บอกว่า ชาวบ้านน้ำลีจำนวน 236 ครอบครัว ที่อยู่ภายในหุบเขา ไม่สามารถเดินทางออกมาติดต่อกับโลกภายนอกเหมือนปกติได้ ทุกวันนี้เหมือนกับติดเกาะ เพราะสะพานทั้ง 3 แห่งในเขตบ้านน้ำลี พังเสียหาย และสะพานเชื่อมไปบ้านน้ำต๊ะ ก็ขาดอีก 2 แห่ง ทุกวันนี้ชาวบ้านต้องเดินรับของแจก และบางคนต้องถอดเสื้อผ้าเพื่อเดินข้ามล้ำห้วยไปรับ เพราะไม่อยากให้เสื้อผ้าเปียก

วอนทหารช่างอย่าเพิ่งทิ้งเราไป

นายบรรจง จันทิจร ชาวน้ำลีเหยื่ออุทกภัยอีกคน เปิดเผยว่า ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน เราอยากให้ทหารช่างอยู่ช่วยเรานานๆ อย่าเพิ่งกลับไป ขอให้อยู่ช่วยเหลือเราให้พ้นหน้าฝนไปก่อน เพราะชาวบ้านน้ำลีเขาไม่สามารถใช้ถนนเดินทางไปมาได้สะดวก ส่วนถนนที่ซ่อมแซมเสร็จพอฝนตกลงมาก็พังอีก

“ไม่รู้ว่าจะซ่อมอีกกี่ครั้ง ส่วนสะพานทำไมไม่ใช้สะพานแบริ่ง หรือใช้เสาไฟฟ้าพาดตอม่อสะพานเดิมที่ชำรุด หากทำเสริมคันดินสุดท้ายก็ไม่พ้นหน้าฝนนี้ เพราะน้ำจากภูเขาหลากแรงมาก ควรใช้วิชาความรู้สร้างสะพานให้ถาวรมากกว่านี้ อย่าทำแค่ขอไปที สิ่งที่เราขอวันนี้ก็ คือ ทางเข้าที่ดินทำกินของพวกเรา”

นางสมหมาย ม่านนวนนท์ บ้านเลขที่ 64/2 หมู่ 1 ต.น้ำหมัน บอกว่า ที่ผ่านมา ได้รับเงินจากผู้จิตศรัทธาบริจาคให้ตั้งแต่ 100-200 บาท จนสูงสุดถึง 1,000 บาท แต่หน่วยงาน อบต.ยังไม่ได้แจกจ่ายถึงมือ บ้านตนเสียหายบางส่วนยังไม่ได้รับค่าชดเชย วันนี้ไม่ได้ทำงาน เพราะไร่นา สวนพังไปหมดแล้ว สิ่งที่อยากได้ คือ สะพานเหล็ก หลายหน่วยงานรับปากไว้แต่ยังไม่ได้ทำ เราอยากให้ทหารช่างอยู่สัก 3 เดือนได้หรือไม่ เพื่อช่วยเหลือพวกเรา
มีรถอยู่คันเดียวจะไปแก้ปัญหาอะไรทัน พอฝนตกลงมาถนน สะพานที่กำลังซ่อมแซมอยู่ก็พังอีก
นางลั่นทม กันใจ บ้านเลขที่ 7 หมู่ 8 บ้านน้ำต๊ะ ต.น้ำหมัน เล่าว่า ตนกับลูกที่อาศัยอยู่บ้านแม่บริเวณด้านล่างช่วงวันเกิดเหตุ คือ ลานเฮลิคอปเตอร์ลง ตนหนีเอาตัวรอดออกมาได้ แต่บ้านพังเสียหายทั้งหลัง แม่ตนได้รับเงิน 3 หมื่นบาท และรับเงินจากผู้บริจาครวมแล้วประมาณ 1,000 บาท ล่าสุด ชาวบ้านน้ำต๊ะ มาขอที่ดินสร้างบ้านชั่วคราวบริเวณที่ของบ้านตนประมาณ 5 หลัง เพราะไม่ต้องการไปอยู่บ้านน็อกดาวน์ เหตุเพราะอยู่ห่างไกลที่ทำกินร่วม 30 กิโลเมตร ทุกครั้งที่ฝนตกและน้ำมา คนแถบนี้ไม่สามารถนอนหลับได้ ต้องผวาตื่นเกรงว่าน้ำป่าจะไหลมาท่วมอีก

“หลายครั้งที่ฉันเข้าประชุมกับคนในหมู่บ้าน ทางผู้ใหญ่บ้านก็เตือนและบอกพวกเราอยู่เสมอว่า ให้ระวังกันเอง เพราะน้ำป่าสามารถมารอบใหม่ได้อีก ก็ยิ่งทำให้เราผวามากขึ้นในเวลาที่ฝนตก”นางลั่นทม กล่าว

นอภ.ท่าปลาแจงรัฐช่วยเต็มที่แล้ว

เมื่อสอบถามความทุกข์ร้อนของชาวบ้านไปยัง นายสุมิตร เกิดกล่ำ นายอำเภอท่าปลา ได้รับการชี้แจงว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังช่วยเหลือฟื้นฟูชาวบ้านน้ำต๊ะ-น้ำลี อย่างเต็มที่ ทั้งเร่งเจาะบ่อบาดาล ไฟฟ้าซึ่งขณะนี้ก็ใช้ได้แล้ว ถนนก็ได้ให้กรมทางหลวงชนบทเข้าไปซ่อมแซม แต่สะพาน 5 แห่งเป็นหน้าที่ของ อบจ.อุตรดิตถ์ ทราบว่า กำลังของบประมาณฉุกเฉินจากกรมปกครองส่วนท้องถิ่นไป 22 ล้านบาท ซึ่งอาจทำให้การดำเนินการช่วยเหลือล่าช้าไปบ้าง

ส่วนค่าชดเชยบ้านเสียหายทั้งหลังๆ ละ 30,000 บาท นั้น ได้จ่ายไปแล้ว 45 หลัง แต่บ้านเสียหายบางส่วนยังไม่ได้จ่าย อยู่ระหว่างสำรวจ สำหรับค่าทำศพจ่ายไปแล้ว 15,000 บาท และ 40,000 บาทต่อราย กรณีหัวหน้าครอบครัว ยืนยันว่า เงินบริจาคถึงตัวผู้รับผลประโยชน์ ส่วนกรณีบ้านน็อกดาวน์ ได้จัดสถานที่และก่อสร้างชุดแรกไปแล้ว 10 หลัง ที่บริเวณริมถนนทางไปเขื่อนอุตรดิตถ์ ที่ ต.ผาเลือด อ.ท่าปลา มีชาวบ้านน้ำต๊ะประสงค์เข้าไปอยู่ 19 ครัวเรือน แต่ชาวบ้านน้ำลี ยังไม่ชัดเจนอยู่ระหว่างสำรวจความต้องการ

ขณะที่ นายสมหวัง นวลมะ รองนายก อบต.น้ำหมัน เปิดเผยว่า ชาวน้ำต๊ะ ประมาณ 160 ครัวเรือนราว 300 คน และชาวบ้านน้ำลี อีก 250 หลังคาเรือน คิดเป็น 400 คนได้รับช่วยเหลือจากสิ่งของอุปโภคบริโภคแล้ว ส่วนผู้ที่แจ้งความประสงค์จะย้ายไปอยู่บ้านน๊อกดาวน์ มีบ้านน้ำต๊ะ 24 ราย และบ้านน้ำลี 20 ราย นอกจากนี้ มีบ้านทรายงามหมู่ 10 ที่ตั้งอยู่ริมถนนทางไปด้านน้ำลี บ้านพังเสียหายขอย้ายไปอยู่ 6 ราย
รถจักรยานยนต์ยังพอเป็นที่พึ่งทำให้ชาว อ.ลับแล น้ำผลไม้บางชนิดออกไปจำหน่ายเองได้บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เพราะถนนหนทางยังแย่อยู่
สาเหตุที่ชาวบ้านแจ้งยอดย้ายไปอยู่น้อย เพราะรับข้อมูลไม่ถูกต้อง ทั้งสถานที่ใหม่ คือ บ้านผาเลือด ต.ผาเลือด อ.ท่าปลา อยู่ห่างจากถิ่นฐานทำกินเดิมประมาณ 30 กิโลเมตร ถือเป็นคนละถิ่นฐานที่ทำกินเดิม เป็นเส้นทางไปเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งบ้านน็อกดาวน์กำลังก่อสร้างไว้ 2 หลัง ขณะที่ยังมีชาวบ้านกลุ่มเสี่ยง เช่น ต.จริม ต.นางพญา อ.ท่าปลา ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมตลิ่ง หรือติดเขาดินโคลน อีกจำนวนมากที่แจ้งความประสงค์จะไปอยู่บ้านน็อกดาวน์

“เงินที่ราชการจ่ายไปแล้ว เฉพาะบ้านเสียหายทั้งหลังจำนวน 30,000 บาท นอกนั้นเป็นค่าทำศพๆ ละ 5,000 บาท ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมาทหารช่างเพิ่งถอนกำลังออกไป และกำลังทำหนังสือขอเครื่องจักรกลสนับสนุนอีกครั้ง ล่าสุดไฟฟ้าใช้การได้ น้ำประปาไม่สามารถบริโภคได้ เพราะสีขุ่นดินโคลนของประปาภูเขา โทรศัพท์ไม่สามารถติดต่อได้ทั้งโทรพื้นฐานและโทรมือถือ หลังจากหลายหน่วยงานเร่งติดตั้งให้ใช้ช่วงเกิดเหตุแรกๆ แต่ก็ถอนคืนไปหมดแล้ว เหมือนกับว่าช่วยเหลือชั่วพักชั่วครู่ ไม่มีอะไรสร้างไว้ถาวร เวลานี้ต้องพึ่งพาติดต่อสื่อสารด้วยวิทยุสื่อสารเท่านั้น ซึ่งพกติดตัวกับแค่ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิก อบต.เท่านั้น” นายสมหวัง กล่าว และว่า

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา สิ่งของบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาต่อเนื่องทุกเสาร์-อาทิตย์ แต่การฟื้นฟูการสู่สภาพเดิมนั้นยาก สิ่งที่ชาวบ้านขอ คือ เครื่องมือการเกษตร เพื่อนำไปกระกอบอาชีพ ความช่วยเหลือที่เห็นถาวร คือ สัญญาณเตือนภัย การเจาะน้ำบาดาลและผลิตน้ำสะอาดบริเวณโรงเรียนบ้านน้ำต๊ะ

ลับแลโวยทำถนนช้า-มีรถคันเดียว

ต่อมาได้ไปสำรวจทำเลที่ตั้งของ “บ้านผามูบ” หมู่ 7 จำนวน 305 หลังคาเรือนและ “บ้านมหาราช” หมู่ 11 จำนวน 120 หลังคาเรือน ในเขต ต.แม่พูล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา มีลำธารไหลผ่านหมู่บ้าน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตผลไม้อันเลื่องชื่อของเมืองลับแล เช่น มังคุด ทุเรียน ลองกอง ลางสาด ฯลฯ จนกลายเป็นสถานที่แหล่งท่องเที่ยว และค้าผลไม้ของชาวเมืองลับแล สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในแต่ละปีกว่าหลักแสนบาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับว่าใครมีพื้นที่ทำสวนมากกว่ากัน

หลังเกิดปัญหาน้ำป่าทะลัก ดินโคลนถล่มพวกเขาก็ไม่มีเหลืออะไรอีก นอกเหนือจากชีวิตที่ทุกคนได้พยามตะเกียดตะกายเอาตัวรอดมาได้ แม้บางครอบครัวจะสูญเสียคนที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องลุกขึ้นมาสู้ต่อ แม้จะเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ก็ตาม

นับตั้งแต่วันเกิดน้ำป่าทะลัก ดินโคลนถล่มในพื้นที่ อ.ลับแล จนวันนี้ เส้นทางขนส่งผลไม้ออกไปจำหน่ายที่ถูกทำลายลงทุกจุด ก็ยังไม่แน่ใจว่า ภายในเดือนหน้านี้ ซึ่งผลไม้ที่ให้ผลผลิตจะถูกขนออกมาจำหน่ายได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังไม่รู้ว่าการจำหน่ายผลไม้ในครั้งนี้ จะเปลี่ยนเป็นรายได้ตีคืนทุนที่ลงไปแล้วแค่ไหน

ป้าแวว บุตรวันทะ ชาวสวนหมู่ 4 ต.แม่พูล บอกกับเราว่า ทำสวนผลไม้ทั้งลองกอง ทุเรียน มังคุด มาสิบกว่าปีต้องมาพังทลายลงเพียงไม่กี่วินาที รายได้ที่เคยได้รับในแต่ละปีกว่าแสนบาท แต่ตอนนี้มีเหลือเพียงแค่หยิบมือเดียว ไม่รู้ว่าจะพอค่าชำระหนี้หรือไม่

“วันนี้ ต้องบอกว่า สวนผลไม้ของแต่ละคนนั้นหายไปกว่าครึ่ง บางรายพังหมด ปัญหาก็คือ ไม่สามารถนำผลไม้ออกมาจากสวนได้ เพราะถนนที่ขึ้นไปตามไหล่เขานั้นถูกดินโคลนไหลมาทับพังหมด การช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐตอนนี้เท่าที่เห็นมีเพียงรถแบล็กโฮคันเดียวเท่านั้นที่กำลังช่วยฟื้นฟูอยู่ ถือว่าไม่เพียงพอ”

ขณะที่บรรดาชาวสวนอีกหลายคนระบุว่า ตอนนี้คนลับแลที่บ้านพังเสียหาย ไม่มีงานทำ ไม่สามารถเข้าไปทำสวน หรือจะนำผลไม้ออกไปจำหน่ายได้ เพราะถนนถูกตัดขาด ต้องนั่งรอรับสิ่งของบริจาคอยู่แต่ในเต็นท์ จึงอยากขอร้องเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐว่า “ควรทำถนนเร่งด่วน เพื่อให้คนลับแลมีงานทำ มีรายได้ และนำผลผลิตออกมาจากสวนมาได้ก่อน”

จวกผักชีโรยหน้า-ยันไม่อยู่น็อกดาวน์

“นายเปิ้ล” หนึ่งในผู้ประสบอุทกภัยชาวแม่พูล อ.ลับแล บอกว่า ตอนนี้ชาวบ้านหลายครอบครัวยังไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่ในเต็นท์ลานอเนกประสงค์ 70 เต็นท์ และยังมีอีกหลายครอบครัวที่ไม่ได้อยู่เต็นท์ ต้องไปอาศัยนอนที่โรงเรียนแทน ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหน้าที่รัฐไม่จัดสถานที่ก่อสร้างบ้านถาวรให้ เหมือนกับที่เคยคุยเอาไว้ว่าจะให้บ้านน็อกดาวน์ แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไร และไม่มีใครทราบว่าในอนาคตจะไปอยู่พื้นที่ใด

“ทราบเพียงว่าทางการจะให้พวกผม 70 ครอบครัวย้ายกลับไปอยู่บ้านพักชั่วคราวอีกครั้งที่ 2 เพราะเกรงว่าถ้าแขกระดับผู้ใหญ่มาดูแล้วจะไม่เหมาะสม กลัวเสียหน้าถึงจังหวัด แต่พวกผมไม่ยอมย้าย หากย้ายต้องเป็นที่อยู่ถาวร พวกผมไม่ต้องการไปอยู่พื้นที่ห่างไกลจากสวนผลไม้”

นายเปิ้ล บอกด้วยว่า ทุกวันนี้พวกตนไม่ได้ทำงาน เพราะถนนเส้นทางขึ้นสวนพังหมด ไม่มีใครช่วยปรับพื้นที่ถนนจำนวนมากบนภูเขา แรงงานคนทำช้ามาก ไม่ทันผลผลิตที่ต้องเสียหาย หากนำผลไม้ลงมาขายไม่ทัน ก็ไม่มีเงิน ณ เวลานี้ก็ไม่มีรายได้ เดิมทีทุกคนต้องขึ้นไปทำงาน รับจ้างหรือใช้แรงงานชาวสวนด้วยกัน เพื่อเอาผลิตออกจากสวนแปรเป็นรายได้ วันนี้ทุกอย่างหยุดหมด

“จริงๆ แล้วคนแม่พูล ไม่ต้องการบ้านอยู่ไกลจากสวน ถ้าไปอยู่บ้านน็อกดาวน์ก็ไม่มีอะไรทำกิน เสียค่าน้ำมันเดินทางมาสวนอีก รัฐควรจ่ายค่าชดเชยค่าสวนเสียหายบ้าง แต่ ณ วันนี้ บ้านพังเสียหายบางส่วนยังไม่มีใครรับแม้แต่บาทเดียว ควรที่จ่ายเงินบ้านเสียหายบางส่วนมาซ่อมแซม ส่วนเงินบริจาคนั้น กองสลากฯแจกให้คนละ 5,000 บาท มีบ้างเงินของผู้ใจบุญจ่ายตรง ๆ กับมือ 200-500 บาทต่อคน”

แฉเงินบริจาคไปไม่ถึงมือชาวบ้าน

ขณะที่ผู้ประสบอุทกภัยรายหนึ่งที่อยู่ในเต็นท์ กล่าวอย่างเสียงดังว่า “จังหวัด เทศบาลหัวดง อบต.แม่พูล ทำงานช้ามาก พวกเราอยู่เต็นท์มา 2 สัปดาห์แล้วยังไม่รู้ชะตากรรมเลย มีแต่นโยบาย เงินบริจาคของคนหมู่ 7 ก็ยังไม่ได้ อ้างว่าเงินบริจาครวม ก็นำไปใช้ส่วนกลาง เช่น ไปทำอาหารเลี้ยง และเป็นค่าน้ำมัน”

นายทอนิสร ทองเฟือย บ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 6 ต.แม่พูล 1 ใน 24 ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในโรงเรียนชุมชนบ้านหัวคง บอกว่า เวลานี้เดือดร้อนที่สุด คือ ที่อยู่อาศัย ต้องนอนเรียงกันภายในห้องเรียน เพราะเต็นท์เต็ม ชีวิตลำบากมาก ไม่มีอะไรทำ เครียด ทางเข้าสวนผลไม้ก็ไปไม่ได้ รู้ข่าวว่ารัฐจะช่วยเหลือบ้านน็อกดาวน์ แต่ก็ไม่ชัดเจน และตอนนี้เรื่องเงียบหายไปแล้ว

นางสบาย เตชัย ผู้ใหญ่บ้านมหาราช หมู่ 11 ต.แม่พูล กล่าวว่า ชาวบ้านที่อยู่เต็นท์ชั่วคราว 70 หลังคา ไม่ต้องการย้ายไปไหนอีก ตนก็เห็นด้วยว่าไม่ควรย้ายไปไหนอีก ซึ่งชาวบ้านแม่พูลอีกมากยังไม่มีที่อยู่ เช่น ตนบ้านพังเสียหายก็ต้องนอนที่โรงเรียนชุมชนบ้านหัวดงเหมือนกับ 24 ครับครัวที่ใช้เป็นบ้านพักพิง ขณะที่บ้านน็อกดาวน์ยังไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด

.....นี่คือ เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้ประสบอุทกภัยจากเหตุการณ์น้ำป่าทะลัก คินโคลนถล่มของชาว จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งได้รับความเดือดร้อนมากว่า 1 เดือน ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 2 แล้ว แต่การช่วยเหลือจากภาครัฐก็ยังเป็นไปด้วยความล่าช้า

ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี วึ่งเป็นนายกฯของคนเหนือที่ไปรับปากกับชาวบ้านว่า “จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นั้น ขณะนี้ภาพมันฟ้องแล้วว่า รัฐบาลได้ช่วยเหลือพวกเขาจริงหรือไม่ ??

กำลังโหลดความคิดเห็น