ศูนย์ข่าวศรีราชา - สหรัฐอเมริกาประกาศจุดพบเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จมห่างฝั่งสงขลา 100 กม. เป็นสุสานสงครามทางทะเล หรือ war grave แล้ว พร้อมอนุรักษ์ซากเรือ-ยุทธภัณฑ์และศพลูกเรือ 86 นาย ให้คงสภาพเดิมตลอดไป
จากกรณีที่กองกำลังทางเรือประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 5 ลำ ได้เดินทางเข้ามาน่านน้ำไทยเพื่อทำการฝึก การัต 2006 ร่วมกับกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ของกองทัพไทย และได้ถือโอกาสขณะเดินทางเข้าน่านน้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทยนำเรือ USS SALVOR (ARS- 52) จอดที่บริเวณห่างจากเกาะโลซิน ประมาณ 40 ไมล์ทะเล และห่างจากจังหวัดสงขลา ประมาณ 100 ไมล์ทะเล เพื่อให้นักประดาน้ำทำการค้นหาซากเรือดำน้ำของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จมไปเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยเริ่มทำการค้นหา ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2549 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2549 สามารถยืนยันได้ว่าเรือดำน้ำที่จมอยู่ใต้พื้นทะเลในระดับน้ำลึก 240 ฟุต หรือ 76 เมตร คือเรือ USS LAGRATO(SS-371) ซึ่งเป็นเรือชั้น BALAO และเรือยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ พบ ปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว ยังติดอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ 1 กระบอก ท่อตอร์ปิโด เปิดอยู่ 1 ท่อ สันนิษฐานว่าจะวิ่งชนทุ่นระเบิดของ เรือ HATSUTAKA ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งวางไว้เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2488 ทำให้เรือจม ลูกเรือจำนวน 86 นายเสียชีวิตภายในเรือทั้งหมด
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ฝ่ายกองกำลังของสหรัฐฯ ได้เชิญสื่อมวลชนเพื่อแถลงข่าวโดยมี นาวาเอก วิรัตน์ สมจิตร์รองผู้บังคับหมวดเรือที่ 2 กองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นนายทหารประสานงาน เพื่อสัมภาษณ์ นาวาตรี จอห์น โคลบี้ ฮาเวิร์ด ซึ่งได้เปิดเผยว่า จากกรณีที่พบเรือดำน้ำลำดังกล่าวนั้น กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาทุกคนดีใจอย่างมาก เพราะพวกเขาได้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติในสนามรบทางทะเล จึงได้ทำพิธีไว้อาลัย ยิงสลุด และนำพวงมาลาลอยลงสู่ทะเลเพื่อกล่าวสดุดีให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วในบริเวณที่พบเรือ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานไปทางฝ่ายไทยและกองทัพเรือไทยแล้วว่า จะขอประกาศเป็นเขต สุสานสงครามทางทะเล หรือ war grave ตามอนุสัญญา และกฎหมายทางทะเล เพราะเขตดังกล่าวอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่กองทัพเรือไทยดูแล รับผิดชอบ
พร้อมกล่าวอีกว่าขณะทำการสำรวจ ได้ติดกล้องไว้โดยรอบของเรือ เพื่อจะได้ทราบว่ามีใครเข้าไปรบกวนในตัวเรือหรือไม่ เพราะถ้ามีการประกาศเป็น war grave หรือสุสานสงครามทางทะเลแล้ว ก็จะทราบกันดีว่านี่คือสถานที่ซึ่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน และทางฝ่ายสหรัฐฯ ได้สำรวจแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่ได้พิสูจน์ทราบภายในแต่อย่างใด เพราะต้องการปล่อยให้อยู่ในลักษณะเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยุทธภัณฑ์ที่อยู่ในเรือ หรือศพลูกเรืออีก 86 นาย ก็คงปล่อยไว้อย่างสงบนิ่งเช่นนี้ตลอดไปโดยให้คงสภาพเดิมทั้งหมด ส่วนเรื่องญาติของผู้เสียชีวิตที่ยังสืบทอดกันอยู่ขณะนี้ ทางกองทัพเรือสหรัฐ ฯ จะดำเนินการนำภาพถ่ายและภาพวีดีโอไปถ่ายให้ดู โดยเฉพาะการสดุดีอย่างสมเกียรติ พร้อมจะประกาศให้ทราบทั่วกันว่า สุสานสงครามทางทะเลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นอยู่ในน่านน้ำไทย ถ้าเรือลำใดผ่านมา ก็ต้องทำการสดุดีเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
ส่วนทางด้าน พลเรือตรีสุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้อำนวยการฝึก การัต 2006 และผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ กล่าวว่า แนวทางการปฎิบัติที่ถูกต้องและทุกฝ่ายต้องยอมรับในเรื่องอนุสัญญาเจนีวา เรื่องของการประกาศพื้นที่เป็น สุสานทางสงครามทางทะเล หรือ war grave และสามารถใช้ พ.ร.บ.ในการประกาศเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุทางทะเล ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั่วโลกรับรู้ โดยเฉพาะชาวเรือทุกประเทศจะรักษา จรรยาบรรณในเรื่องการประกาศเขต war grave เป็นอย่างดี โดยไม่เข้าไปรบกวนอย่างเด็ดขาด และทางกองทัพเรือสหรัฐฯ ยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนย้ายสถานที่แต่อย่างใด เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสุสานทางสงครามอันสมเกียรติแล้ว
พลเรือตรีสุรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ในส่วนของกองทัพเรือได้รับทราบกันดีอยู่แล้วในอนุสัญญาดังกล่าว ต่อไปกองทัพเรือ ต้องมีหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ให้ชาวเรือ นักท่องเที่ยว นักดำน้ำใต้ทะเล ได้ทราบทั่วกันว่าไม่สมควรเข้าไปรวบกวนสุสานทางสงครามแห่งนี้ และสุสานแห่งนี้คงเป็นแห่งที่ 2 ของโลกตามที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์สงครามทางทะเลเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาในเรื่องของความสูญเสีย พ่ายแพ้ และชัยชนะให้กับอนุชนรุ่นหลังต่อไป เพื่อให้มนุษย์โลกได้แสวงหาความสันติสุข