หมู่บ้านแม่ปูคา หมู่ 13 ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ที่กำลังถูกทีมเจ้าหน้าที่ "ป่าไม้-ส.ป.ก." บ่งชี้ว่า มีพื้นที่บางส่วน รุกพื้นที่ป่าดอยนางแล-โป่งพระบาท โดยเฉพาะพื้นที่ในส่วนของไร่ปฏิบัติธรรม บริเวณท้ายหมู่บ้าน ซึ่งนายสุนทร วัชรกุลดิลก เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 8 ผอ.ส่วนป้องกันและปราบปราม สำนักจัดการและควบคุมป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่นำทีมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นตามหมายศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 427/2549 ลงวันที่ 8 เม.ย.49 เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า เป็นที่ดินที่มีข่าวลือว่า เกี่ยวพันกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่ด้วย
แม้ว่าตามบันทึกการตรวจค้นคราวนั้น นายนิธิพัชร เพชระบูรณิน ผู้ดูแลแปลงที่ดิน ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบแล้ว ตามบันทึกการตรวจค้น ก็ได้ระบุชัดเจนว่า ที่ดินทั้งหมด 79 ไร่ 20 ตร.ว.มีเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 จำนวน 3 ฉบับ นอกจากนี้ยังมีที่ดินบางส่วนมีเอกสารสิทธิ์เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3ก.) ออกโดยกรมที่ดิน รวมถึงวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาก่อสร้างอาคารปฏิบัติธรรมทั้งหมด ก็มีเอกสารแสดงถึงที่มาที่ไปอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่า"เจ้าหน้าที่รัฐ"ยังคงมุ่งเป้าไปว่า ที่ดินแปลงนี้ รุกป่า และ/หรือ ได้เอกสารสิทธิ์มาโดยมิชอบ !?
แม่ปูคา ; ชุมชนเก่าแก่ 100 ปี
ทั้งนี้ โดยข้อเท็จจริงแล้ว "บ้านแม่ปูคา" แห่งนี้ ถือเป็นชุมชนเก่าแก่ ที่มีอายุใกล้จะครบ 100 ปีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ตามบันทึกเอกสารประวัติบ้านแม่ปูคา หมู่ 13 ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ค้นคว้าโดยพ่อแป๋ง บัวเร็ว ระบุไว้ว่า ตามคำบอกเล่าผ้เฒ่า ผู้แก่นั้น บ้านแม่ปูคาเดิมเป็นบ้านยางแล ต่อมามีพี่น้องจากเชียงใหม่ ที่ทำมาค้าขายระหว่างกัน มาเห็นสภาพพื้นที่เพาะปลูกสมบูรณ์ดี ดังนั้นจึงกลับไปเชียงใหม่ คือ บ้านแม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ แล้วชักชวนกันมาอยู่ที่บ้านยางแล
จึงพร้อมใจกันขายไร่นาสวนที่สันกำแพง แล้วเตรียมหาบใส่ของอพยพจากแม่ปูคา คู่ใคร คู่มัน คือ
1.พ่อน้อยทื้น แม่ตา เทพปัญญา
2.พ่อน้อยอุย แม่เป้า คำมี
3.พ่อน้อยโรจน์ แม่จีด แสนโกษา
4.พ่อน้อยก้อน แม่เอ้ย นางแล
5.พ่อกิ้ง แม่ออน วงค์ตัน
ทั้งหมดนี้อพยพจากเชียงใหม่ ขายของมาตามทางเกวียนด้วยเท้า 4 วัน 4 คืน ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีรถ มีแต่ล้อ วัว กับเดินเท้าเท่านั้น พอ 4 วันถ้วนก็เข้าเขตเชียงราย
ในปี พ.ศ.2454 ก็มารวมตัวกันอยู่ใกล้กัน ทำไร่ใส่สวนของใครของมัน อยู่ได้ไม่กี่ปีก็มีพี่น้องตามมาอยู่ด้วยมากขึ้นเป็นกลุ่มคนบ้านแม่ปูคา ดังนั้นพี่น้องบ้านนางแลสมัยนั้นจึงตั้งชื่อว่า กลุ่มแม่ปูคา อยู่ได้ประมาณ 10 ปี ก็ตั้งชื่อว่า "บ้านแม่ปูคา" ตลอดมาถึงวันนี้
รวมแล้วพี่น้องปูคามาอยู่นางแลได้เกือบจะ 100 ปีแล้ว
และแน่นอนว่า ผู้คนที่อพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็เริ่มบุกเบิก ที่ดินทำมาหากินเลี้ยงชีพตามปกติ รวมถึงพื้นที่บริเวณ "ป่าเป๊าะ" ที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของไร่ปฏิบัติธรรม ที่เพิ่งถูก "เจ้าหน้าที่ป่าไม้" กว่า 40-50 คน เข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 9 เม.ย.49 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางความสงสัยว่า เนื่องด้วยมีข่าวลือว่า เป็นที่ดินของ "แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" บางคน
ที่นี่ มีทั้งโฉนด/นส.3 ก./ส.ป..ก.4-01 !?
นายอินทรัตน์ สุจริต กำนันตำบลนางแล อ.เมือง จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ที่ดินแถบนี้ๆม่ว่าจะเป็นที่ปลูกสร้างบ้านเรือน ที่สวน ไร่-นา เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโฉนด / นส.3ก./สป.ก.4-01 ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายถึงชาวบ้านรุกที่ป่ามาทำบ้านเรือน แต่ที่จริงแล้วชาวบ้านอยู่กันมาร่วม ๆ 100 ปี หลายชั่วอายุคน
และเมื่อ 40-50 ปีก่อน รัฐบาลได้ประกาศให้ชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินอยู่ ได้ยื่นขอเอกสารสิทธิ์ต่าง ๆ เช่น บางคนมี สค.1 ก็ไปขอ นส.3 ก. บางคนมี นส.3ก.อยู่แล้ว ก็ออกเป็นโฉนด แต่บางคนไม่มีเงิน หรือไม่อยากเสียภาษีที่ดิน บางมีเป็น 10 ไร่ ก็แจ้ง 2 ไร่ 3 ไร่ เพื่อเสียภาษีให้น้อยที่สุด เป็นต้น ทำให้ที่ดินบางแปลงกลายเป็นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือได้เอกสารสิทธิ์หลายหลายระดับ กลายเป็นปัญหามาถึงทุกวันนี้
"แม้แต่ในหมู่บ้าน/ชุมชุนบ้านแม่ปูคา ที่อยู่อยู่ 2 ข้างถนนในหมู่บ้านที่กว้างไม่ถึง 2 เมตร ด้านหนึ่งเป็นโฉนด อีกด้านหนึ่งเป็น สป.ก.4-01 ก็มีหลายสิบหลังคาเรือน ชาวบ้านเข้าไปยื่นขอกันตอนหลัง ก็ได้รับแจ้งว่า แม้จะเป็นที่ดินระวางแล้วก็ตาม หรือมีบัญชีอยู่แล้วก็ตาม แต่เอกสารต่าง ๆ ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นก็ต้องใช้เอกสารสิทธิ์เท่าที่มีอยู่เท่านั้น"
เพราะหลังจากที่รัฐบาลประกาศให้ชาวบ้านแจ้งทำเอกสารสิทธิ์แล้ว เมื่อปี 2521 ก็มีการประกาศเขตป่าดอยนางแล-โป่งพระบาททับลงมา ทำให้เอกสารสิทธิ์ที่ดินต่าง ๆ ที่ชาวบ้านถือครองอยู่ถูกแช่แข็ง ส.ป..ก.4-01 ขยับเป็นอย่างอื่นไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
ที่นี่ล้วนมีเจ้าของ
จากการตรวจสอบ-สัมภาษณ์ เจ้าของที่ดินดั้งเดิมบริเวณ "ป่าเป๊าะ" ที่ปัจจุบันหลายคนยังมีชีวิตอยู่ หลายคนแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ลูกหลานที่รู้เรื่องราวความเป็นมาของที่ดิน ยังมีชีวิตอยู่นั้น พบว่า ที่ดินทุกแปลง ต้นไม้ทุกต้น ยังอยู่ในความทรงจำของพวกเขา เพราะหลายคนเคยย่ำเท้าเพื่อทำมาหากินบนผืนดินที่พวกเขา หรือรุ่นพ่อ รุ่นแม่บุกเบิกเลี้ยงชีพมาทั้งสิ้น
อุ้ยจัน วงค์มณี วัย 73 ปี อยู่บ้านเลขที่ 194 หมู่ 13 บ้านแม่ปูคา ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็น 1 เจ้าของที่ดินดั้งเดิมของไร่ปฏิบัติธรรม ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก "เจ้าหน้าที่รัฐ" เท่าใดนัก บอกว่า ที่ดินของแม่อุ้ยจัน ซื้อมาสมัยแต่งงานใหม่ ๆ ตอนนั้นอายุประมาณ 20 กว่า เนื้อที่ประมาณ 10 กว่าไร่ ซื้อมาด้วยเงินประมาณ 1,000 บาท หลังจากนั้นก็ได้ยื่นขอทำเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก. เมื่อ 30-40 ปีก่อน แต่ไม่ได้ยื่นขอหมดทั้งแปลง เพราะไม่มีเงินเสียภาษีมาก จึงขอเฉพาะที่ ที่ใช้ทำนา ส่วนที่หัวนา หรือที่เหล่า/นาเหล่า นาดอน ที่สมัยนั้นใช้ปลูกข้าวไร่ ไม่ได้แจ้ง
แต่เมื่อปี 35 เกิดไฟไหม้บ้านไม่เหลือทรัพย์สมบัติ จึงได้ขายที่นาแปลงนี้ไปเมื่อปี 36 เพื่อนำเงินที่ได้มาประมาณ 300,000 บาท มาสร้างบ้านใหม่ โดยขายแบบยกแปลง คือ ขายทั้งที่นา / ที่หัวนา หรือที่ไร่
"สมัยนั้นยอมรับว่าหลายคนไม่อยากเสียภาษียอดหญ้ากันมาก บางคนก็ไม่มีเงินจะไปเสีย บางคนไม่รู้ ก็ไม่ได้ไปยื่นขอเอกสารให้ถูกต้อง แต่ก็ใช้ทำมาหากินกันมานับชั่วอายุคนแล้ว ไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา"
นางแดง เขื่อนเพชร / นางจารุวรรณ ประเสริฐ 2 พี่น้องที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินดั้งเดิมอีกรายหนึ่ง บอกว่า ที่ดินที่พวกเธอขายไปเมื่อปี 36 โดยขายในสมัยนายกฯ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นั้นได้ขายให้กับนายประหยัด จันต๊ะคำ ในราคาประมาณ 150,000 บาท (ขายผ่อนได้เงินครั้งละหมื่นสองหมื่น บางครั้งก็แลกหน้าต่าง-วงกบประตูมาสร้างบ้าน) นั้น เป็นที่ดินมรดกจากพ่อแม่บางส่วน ที่ได้มาเมื่อปี 2508-2509 และซื้อเพิ่มเติมจากญาติพี่น้อง ในราคา 500 บาท กับข้าวอีก 100 ถัง เมื่อปี 2510 ได้ที่ดินมาทั้งสิ้น 10 กว่าไร่ บางส่วนเป็นที่นา กับที่ดอน สมัยนั้นได้ยื่นขอ สค.1 แล้ว
แต่ได้นำไปจำนำกับเจ๊กโก ที่ต่อมาได้ตายไปทำให้เอกสารต่าง ๆ ของที่ดินหายไปด้วย ส่วนที่ ที่ใช้สร้างบ้านอยู่ทุกวันนี้ก็เป็น ส.ป..ก.4-01 อยู่ ยังไม่ได้โฉนด ทั้ง ๆ ที่ดินตรงข้ามถนนห่างกันไม่ถึง 2 เมตร ได้เอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดกันหมดแล้ว
เธอบอกว่า เคยไปสอบถามทางเจ้าหน้าที่เขาเหมือนกัน เขาชี้แจงว่า ที่ดินที่อยู่ทุกวันนี้เป็นป่าจำแนก ที่ระวางแล้ว แต่เอกสารต่าง ๆ หมดอายุ ทางราชการจึงทำลายทิ้งไปหมดแล้ว ไม่มีต้นขั้วให้ตรวจสอบยืนยันกันอีก ก็เลยต้องอยู่กันอย่างนี้
"ยืนยันว่า ที่นาบริเวณป่าเป๊าะ ที่ขายไปเมื่อปี 36 นั้น เป็นที่มรดกที่ทำมาหากินมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ที่ปัจจุบันเสียชีวิตไปหมดแล้ว"
อุ้ยแต๋ง ทวีกูล วัย 82 ปี อิยู่บ้านเลขที่ 237 หมู่ 13 แม่ปูคา ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ที่เป็นอีกหนึ่งเจ้าของที่ดินดั้งเดิม บอกว่า ที่ดินของเธอ ซึ่งได้ขายไปเมื่อประมาณปี 28 หลังจากที่สามีเสียชีวิตเมื่อปี 25 นั้น เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก. ที่ซื้อมาเมื่ออายุได้ประมาณ 30 กว่าปีเล็กน้อย หลังจากที่มีลูกชายคนคนแรกได้ไม่นาน หลังจากนั้นลูกชายคนโต และคนรอง ก็ได้ช่วยพ่อเขาบุกเบิกเพิ่ม (ปัจจุบันลูกชายทั้ง 2 คนเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงลูกสาว ซึ่งเมื่อสามีเสียชีวิตจึงได้ตัดสินใจขายที่นาทิ้งไปเพราะไม่มีคนทำ) ซึ่งตอนนั้นลูกสาวที่เหลืออยู่ (ปัจจุบันอายุ 39 ย่าง 40 ปี) ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ไม่แตกต่างไปจากแม่อุ้ยจันหอม เขื่อนเพชร วัย 70 ปี ที่ปัจจุบันย้ายไปอยู่ที่บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย ที่เมื่อได้สอบถามถึงที่ดินเดิมของแม่อุ้ยจันหอม ที่ป่าเป๊าะ เธอได้เล่าว่า ซื้อมาเมื่อสมัยที่แต่งงานใหม่ ๆ ขณะนั้นอายุได้ประมาณ 19-20 ปี จำนวน 15 ไร่ ราคา 2,500 บาท เมื่อทางราชการประกาศให้ไปแจ้งทำเอกสารสิทธิ์ ก็ได้ยื่นขอเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก.แล้ว โดยตอนนั้นอุ้มท้องลูกคนแรกอยู่ขณะที่ไปยื่นเรื่อง (ปัจจุบันลูกสาวที่เธออุ้มท้องขณะนั้นอายุได้ 40 ปีแล้ว)
เธอและสามีใช้ที่ดินแปลงดังกล่าวทำนาหาเลี้ยงชีพได้ร่วม ๆ 20 ปี ก็ขายไปในราคา 800,000 บาท แต่ได้เงินมา 700,000 บาท พร้อมกับเสียรถไถนาคูโบต้า ที่เพิ่งซื้อมาได้ปีเดียว เป็นค่านายหน้าบวกเงินสดอีก 100,000 บาท
"ที่ของอุ้ยมีเอกสารสิทธิ์หมด ไม่ได้ไปรุกป่า รุกดอยที่ไหน ที่ขายไปก็มีเอกสารโอนให้คนซื้อทั้งหมด และเคยใช้เป็นที่ทำมาหากินมาก่อนเลี้ยงลูกจนอายุ 40-50 ปีหมด หลานบางคนยังอายุเกือบจะ 30 ปีอยู่อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ถ้าไม่มีเอกสารสิทธิ์ก็คงโอนไม่ได้"
นี่คือบทพิสูจน์ที่สามารถยืนยันได้ว่า บนพื้นฐานความเป็นจริง ที่ยังคงมีพยานเอกสาร-พยานบุคคล ยืนยันพรักพร้อมอยู่นี้
กลับนำมาซึ่งข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่รัฐว่า ที่ดินบางแปลงย่านนี้ ได้มาโดยมิชอบ !?
ทำให้เกิดความเคลือบแคลงขึ้นว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ ละเลย พยานเอกสาร/พยานบุคคลไปโดยจงใจหรือไม่ !?