xs
xsm
sm
md
lg

แด่ “เจ๊จิ๋ม - สลักจิต ติยะไพรัช” / โชคร้ายที่เป็น “เมียยุทธ ตู้เย็น”!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนเชียงรายรู้กันดีว่า “เจ๊จิ๋ม - สลักจิต” หน้าชื่นอกตรมแค่ไหน แม้ว่าเธอจะได้ชื่อว่าเป็น “เมียรัฐมนตรี” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ไว้ใจมากที่สุดในขณะนี้คนหนึ่งก็ตาม แต่ชีวิตครอบครัวเธอนั้นดูเหมือนจะทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่ชอกช้ำมากที่สุดคนหนึ่ง

ที่จริงแล้ว “เจ๊จิ๋ม - สลักจิต ติยะไพรัช” นับเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารที่สุดคนหนึ่งในเมืองพ่อขุนเม็งราย ณ ยามนี้ เพราะนอกจากจะถูกศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท และให้เว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งแม้ว่าโทษจำและปรับจะลดให้ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 3 ปี 9 เดือน ปรับอีก 75,000 บาท ส่วนโทษเว้นวรรคฯ คงเดิมก็ตาม แต่คำพิพากษาจากศาลเที่ยวนี้เป็นเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

เพราะแม้ว่าเธอจะยังคงใช้นามสกุล “ติยะไพรัช” ของ “ยุทธ ตู้เย็น – ยงยุทธ ติยะไพรัช” นักการเมืองที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งของเมืองเชียงราย ที่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รักษาการ) ในยุค “ไทยรักไทย – ทักษิณ ชินวัตร” เป็นใหญ่ในขณะนี้ก็ตาม

แต่กลับมีคำเล่าลือไปทั่ว (ทั้งที่ยังพิสูจน์กันไม่ได้ชัดเจน) ว่า ณ วันนี้ เธอเป็นเมียของ “ยงยุทธ” แต่เพียงในนามเท่านั้น

คำเล่าลือที่ว่านี้ ถูกกล่าวขวัญกันที่เชียงรายมาหลายปีแล้ว คนเชียงรายบางคนถึงกับบอกว่า เธอกับยงยุทธ ได้ “หย่า” กันแล้ว แต่จำเป็นต้องรักษาสถานภาพในสังคมเอาไว้เพื่อผลทางการเมืองเท่านั้น

โดยความเป็นจริง ก่อนหน้านี้ คนเชียงราย / ลุกพ่อขุน ส่วนใหญ่ล้วนมองว่า “เจ๊จิ๋ม – สลักจิต” น่าจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดคนหนึ่งเมื่อได้แต่งงานกับ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ศิษย์เก่าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม / ศิษย์เก่า มช. / มหาบัณฑิตจากธรรมศาสตร์ และล่าสุดได้รับทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่สถาบันเอไอทีอยู่

เนื่องเพราะ “ยงยุทธ” ถือเป็นนักการเมืองหนุ่มดาวรุ่งที่พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เคยเรียนด้วยกันที่สามัคคีวิทยาคม ภาคภูมิใจเมื่อครั้งที่ก้าวเข้าสู่ถนนการเมือง ลงสมัคร ส.ส.จนได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2538 ในสังกัดพรรคเอกภาพ ภายใต้การช่วยเหลือของ ดร.ฉัฐวัสส์ มุตตามระ อดีต ส.ส.เชียงราย, สุรสิทธิ์ เจียมวิจักษ์ และบัวสอน ประชามอญ ที่ปัจจุบันหอบหิ้วมาอยู่ในพรรคไทยรักไทยด้วยกันอยู่

ในยุคนั้น คนเชียงรายส่วนใหญ่มองว่า “เจ๊จิ๋ม” โชคดีที่ได้ “คนตนนี้” มาเป็นคู่ชีวิต เพราะนอกจากจะมีอนาคตทางการเมืองที่ยาวไกล อันเนื่องมาจาก “ยงยุทธ” เป็นคนปากหวาน พูดจาสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ฯลฯ แถมมีกิจการรับซื้อ/แปรรูปพืชผลทางการเกษตร ที่มั่นคงอยู่ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย เป็นนักการเมืองคุณภาพที่ทุกคนกล่าวถึงอย่างชื่นชม

กระทั่งการเลือกตั้งปี 2539 “ยงยุทธ” ได้เข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แถมได้แรงหนุนจากกระแสพรรคเทพ–พรรคมาร ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเดินเข้าสภาฯ อย่างสง่าผ่าเผย จนได้รับบำเหน็จให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

“เจ๊จิ๋ม” คงโชคดีจริงๆ ถ้าหาก “ยงยุทธ ไม่เปลี๊ยนไป๋” นำมาซึ่งเสียงเล่าลือที่ยังไม่รู้ว่าเท็จจริงอย่างไรว่า ทุกวันนี้เธอได้ใช้นามสกุล “ติยะไพรัช” แต่เพียงในนามเท่านั้น

ทุกวันนี้คนเชียงรายเล่าลือกันว่า “เจ๊จิ๋ม” ถูกทำร้ายจิตใจอย่างสาหัส ถึงขั้นถูกขอ “หย่า” เพราะ “ยงยุทธ” ได้เกิดอุบัติเหตุบนเส้นทางชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อไปมีความสัมพันธ์กับเด็กสาวลูกนายทหารใหญ่ระดับ “นายพล” ที่รับราชการอยู่ที่สระบุรี จนถึงขั้นเกิด “ทายาท” ขึ้นมา ซึ่งวันนี้มีข่าวว่ามีอายุ 8 ขวบย่าง 9 ขวบแล้ว และกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง จนถูกยื่นเงื่อนไข (แกมบังคับ) ให้เลือกระหว่าง “ลูกสาวนายพล – เจ๊จิ๋ม” เมื่อ 5-6 ปีก่อน

ว่ากันว่า ด้วย “เงื่อนไขแกมบังคับ” ทำให้สามี (ที่ดูเหมือนจะเป็นอดีตไปแล้ว) “เจ๊จิ๋ม” จำต้องเลือกที่จะขอ “หย่า” กับเจ๊ ซึ่งช่วงนั้นญาติพี่น้องของ “เจ๊จิ๋ม” เองก็เห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงเสนอเงื่อนไขให้ “ยงยุทธ” หาช่องทางทำมาหากินให้เจ๊ ก่อนจึงจะยอมเซ็นใบหย่าให้

นำมาซึ่งการระดมสรรพกำลังทุกอย่าง ที่ “ยงยุทธ” มีอยู่ขณะที่เขาดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ผลักดันให้ “เจ๊จิ๋ม – สลักจิต” ลงสมัครชิงเก้าอี้ “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย” ให้ได้

ยอมถึงขั้น “หัก” เจ๊แดง – เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ช่วงนั้นหนุน “รัตนา จงสุทธนามณี” ลงชิงเก้าอี้ นายก อบจ.เชียงราย อยู่ สุดท้ายพรรคไทยรักไทยต้องนำเรื่องนี้เข้าไปตัดสินในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่ง “ยงยุทธ” ก็สามารถผลักดันให้ “เจ๊จิ๋ม” ลงสมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.เชียงราย ในนามพรรคไทยรักไทย ได้สำเร็จ ขณะที่ “เจ๊แดง” เองก็ต้องสนับสนุน “รัตนา” อย่างลับๆ แทน

ไม่เพียงเท่านั้น เกมการต่อสู้ชิงเก้าอี้ระหว่าง “เจ๊จิ๋ม” ที่ “ยงยุทธ” ต้องดันเต็มที่ กับ “รัตนา” ยังได้สร้างตำนานการหาเสียงที่ “โหดหิน” ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นบนแผ่นดินเชียงราย ถึงขั้นที่ต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องยับเยินให้ได้ จนถึงขั้นเขียนคำร้องยื่น กกต.ว่า คู่แข่งขันกับพรรคพวก ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง จนในที่สุด กกต.เชียงราย ที่ขณะนั้นมี “สำเริง ปุณโยปกรณ์” อดีตผู้ว่าฯเชียงราย นั่งเป็นประธานอยู่ พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีมูลจึงยกคำร้องไป

แต่ตอนหลัง “สำเริง ปุณโยปกรณ์” ก็ถูกกล่าวหาว่ารุกพื้นที่ป่าดงป่าเมี้ยง อ.แม่จัน จ.เชียงราย กระทั่งต้องลาออกจากการเป็นประธาน กกต.เชียงราย เมื่อ 23 ก.ย.48 เพื่อสู้คดีนำมาซึ่งการถูก “รัตนา จงสุทธนามณี” ฟ้องกลับ

จนล่าสุดเช้าวันที่ 17 มี.ค.49 ศาลจังหวัดเชียงราย พิพากษาสั่งจำคุก “เจ๊จิ๋ม – สลักจิต” 5 ปี ปรับ 100,000 บาท และให้เว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี แต่จำเลยไม่เคยต้องโทษ / ให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษ 1 ใน 4 โทษจำคุกเหลือ 3 ปี 9 เดือน ปรับ 75,000 บาท โทษเว้นวรรคฯ ให้คงไว้ โดยไม่รอลงอาญา

ซึ่งก็ไม่รู้ว่า งานนี้ “ยงยุทธ” จงใจที่จะจัดให้ “เจ๊จิ๋ม – สลักจิต” ด้วยตนเองหรือไม่ เพราะทั้งหมดเนื้อแท้แล้วเพื่อให้ได้มาซึ่ง “ใบหย่า” สนอง “เงื่อนไขแกมบังคับ” ที่ได้มาจากนายทหารระดับนายพลผู้เป็นพ่อของเด็กสาวที่สร้างอุบัติเหตุให้กับชีวิตช่วงหนุ่มใหญ่ของ “ยงยุทธ”

เพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อของ “ยงยุทธ” ที่เคยกอดคอกันมาสมัยเรียนอยู่ที่สามัคคีวิทยาคม จะรู้กันดีว่า ระยะหลัง “ยงยุทธ” แทบจะไม่ได้ออกงานคู่กับเจ๊แกเลย จะมีเพียงเมื่อครั้งที่ “เจ๊จิ๋ม – สลักจิต” เดินทางไปรับสายสะพายเท่านั้น ที่ “ยงยุทธ” ยอมควงคู่กับเจ๊ นอกนั้นเจ๊แกจำเป็นต้องลุยเดี่ยวตลอด เพราะเขาติดสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กสาวลูกนายพลใหญ่ ที่กลายเป็นแม่ของลูกชายคนเล็กอยู่ในขณะนี้

และที่สำคัญที่คนเชียงรายหลายคนทนไม่ได้ ก็คือ การเข้าไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ที่เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้กับ “ยงยุทธ” เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อลูกของยงยุทธ-เจ๊จิ๋ม มีเรื่องกับภารโรง เขาถึงกับเข้าไปต่อว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายกับครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนสามัคคีฯ เพราะไม่ลงโทษภารโรงคู่กรณี จนทำให้มีเสียงก่นด่าเกิดขึ้นไปทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ เพราะ “คนเมืองหรือคนเหนือ รวมทั้งคนไทยทั้งประเทศ” เขาถือความกตัญญูรู้คุณครูบาอาจารย์เป็นสรณะ
กำลังโหลดความคิดเห็น