ศูนย์ข่าวศรีราชา - ประธานบริษัท ลาเพิร์ทฯ พร้อมทนายร้องขอความเป็นธรรมทั้งน้ำตา หลังโดนนายตำรวจ ยศ “พล.ต.อ.” ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือด้วยกัน ใช้อำนาจโดยมิชอบ ส่งลูกน้องทั้งใน-นอกเครื่องแบบ บุกค้นโรงงานโดยไม่มีหมายศาลและไม่มีความผิด แถมขู่แจ้งความดำเนินคดี ทั้งที่ผ่านมาได้มีการจ่ายผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
นายทรงศักดิ์ จิตเจือจุน ประธานกรรมการบริษัท ลาเพิร์ท (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยนายศุภกร อรัญนาถ ทนายความประจำบริษัทฯ ได้ร้องขอความเป็นธรรมกรณีถูกทนายความพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องหลายคน เดินทางมาที่โรงงานพร้อมหนังสือมอบอำนาจจากนายตำรวจระดับยศนาย พล.ต.อ.นายหนึ่ง จะขอเข้าตรวจเอกสารของบริษัทฯ แต่ไม่มีหมายศาลจึงไม่อนุญาตให้เข้า จึงถูกข่มขู่จะแจ้งความดำเนินคดีอาญา
นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า เดิมทีบริษัทชื่อบริษัท ลาพอร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2535 บริษัท ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ลาเพิร์ท (ประเทศไทย) จำกัด โดยเจ้าของชาวต่างชาติได้ให้ตนนำอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดคิดเป็นจำนวนเงิน 323,496,157 ล้านบาท ไปจำนองกับสถาบันการเงินเพื่อกู้เงินเป็นจำนวน 100 ล้านบาท
โดยจะยกกิจการโรงงานทั้งหมดให้ จึงปรึกษากับนาย พล.ต.อ.ดังกล่าวในฐานะเป็นนักเรียนร่วมรุ่นเตรียมอุดมศึกษามาด้วยกัน และเป็นเพื่อนสนิทกันมากคนหนึ่ง ไปติดต่อหาสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือให้
ต่อมานาย พล.ต.อ.คนดังกล่าวได้ติดต่อเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเสียงประสานกับบริษัท เอเซียไฟแนนซ์ จำกัด และได้นำทรัพย์สินทั้งหมดรวมทั้งหุ้นไปจำนองกับบริษัท เงินทุน เอเซียไฟแนนซ์ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท ตนจึงยกหุ้นให้กับเจ้าของบริษัทดังกล่าวเป็นจำนวน 45% บริษัทดังกล่าวแบ่งหุ้นให้ 25% โดยไม่ต้องลงทุนเป็นหุ้นลม โดยที่ตนถือหุ้น 55%
นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากนั้นเพียงปีเศษกิจการโรงงานได้ประสบความสำเร็จ มีกำไรสามารถใช้หนี้จำนวน 100 ล้านบาทหมด มีกำไรอีก 200 ล้านบาทเศษ จึงแบ่งเงินปันผลให้กับนาย พล.ต.อ.คนดังกล่าวเป็นเวลาติดต่อกันมาหลายปี คิดเป็นเงินกว่า 40 ล้านบาท มีเอกสารเซ็นชื่อเป็นหลักฐาน
นอกจากนั้น ยังให้ภรรยามานั่งกินเงินเดือนๆ ละ 50,000 บาท โดยที่ไม่ต้องมาทำงานมาเป็นเวลานาน 20 เดือน เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนรักกัน
ต่อมาเมื่อ 2 ปีเศษที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาขาดทุน จึงพยายามที่จะลดรายจ่ายลง และให้ภรรยานาย พล.ต.อ.คนดังกล่าวมานั่งทำงานช่วยกันบริหารเพื่อกู้สถานะ จึงสร้างความไม่พอใจให้กับนาย พล.ต.อ.คนดังกล่าว ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความ และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามจำนวนหลายคนจะขอเข้าตรวจค้นเอกสารในบริษัท เมื่อถูกปฏิเสธจึงถูกพูดจาข่มขู่จะแจ้งความดำเนินคดีอาญาตนและพนักงานที่ร่วมเป็นกรรมการทุกคน
นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นาย พล.ต.อ.คนดังกล่าวยังได้ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดระยอง ตรวจสอบ เอกสารการขอจดทะเบียนบริษัท และเรื่องการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นรวม 5 ครั้ง โดยอ้างว่าไม่ได้เข้าร่วมประชุม และไม่ได้มอบฉันทะให้ผู้อื่นร่วมประชุมแทน ซึ่งไม่ครบองค์ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งที่ผ่านมานาย พล.ต.อ.คนดังกล่าวไม่เคยมาร่วมประชุมได้ แต่พูดคุยทางโทรศัพท์ เงินปันผลตนต้องนำเช็คไปมอบให้ทุกครั้ง
“ผมเสียใจมากกับการกระทำคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ บ้านก็อยู่ใกล้กันที่กรุงเทพฯ ขณะนี้ผมหวาดระแวง เกรงว่า ครอบครัวจะไม่ได้รับความปลอดภัย รวมทั้งพนักงานที่เป็นกรรมการ ทุกคนหวาดผวา เนื่องจากเป็นนายตำรวจยศระดับ พล.ต.อ.ที่มีอำนาจ” นายทรงศักดิ์ กล่าวทั้งน้ำตา