ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๔ มีว่า จำเลย ที่ ๔ ได้ร่วมกับนายวิทยากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือจัดหาทรัพย์ใดๆใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ หรือไม่ ในปัญหานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการหรือขั้นตอนจัดซื้อที่ดินในครั้งนี้ว่ามีความผิดปรกติหรือไม่เป็นประเด็นแรก ซึ่งแยกพิจารณาได้หลายประการ กล่าวคือประการแรก เกี่ยวกับระยะเวลาที่กำหนดในประกาศเรื่อง จัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทิ้งขยะตามเอกสารหมาย จ.๑๕ถึง จ.๑๗ ซึ่งกำหนดระยะเวลาให้ผู้ประสงค์ขายที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทิ้งขยะตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ถึง จ.๑๗ ซึ่งกำหนดระยะเวลาให้ผู้ประสงค์ขายที่ดินเสนอหลักฐานกรรมสิทธิ์ต่อคณะกรรมการเพียง ๑๕ วันถึง ๒๒ วัน ทั้งที่เป็นการจัดซื้อที่ดินจำนวนมากถึง๑๔๐ไร่ วงเงินจัดซื้อสูงถึง๙๘,๐๐๐,๐๐๐บาท ถือว่ามิได้กำหนดเวลาให้พอเพียงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจยื่นเสนอราคาแข่งขัน ครั้นจะฟังว่านายวิทยาต้องการจัดซื้อเป็นกรณีเร่งด่วนก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะหลังจากครบกำหนดตามประกาศครั้งแรกแล้วถึง ๗วัน นายวิทยาจึงออกประกาศครั้งที่ ๒ เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัดได้แบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่และจดทะเบียนขายให้นายพีระ ๑๔๐ ไร่ เมื่อวันที่๒๐ ตุลาคม๒๕๓๕ อันเป็นช่วงระยะเวลาก่อนออกประกาศครั้งที่ ๓ ก็จะพบพฤติกรรมของนายวิทยาที่ออกประกาศแต่ละครั้งโดยกำหนดระยะเวลาเป็นสั้นๆก็เพื่อไม่ต้องการให้มีผู้แข่งขันเสนอราคา อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่นายพีระเพราะในระหว่างที่ออกประกาศครั้งแรกและครั้งที่ ๒ นั้นนายพีระยังไม่ได้รับโอนที่ดินจากบริษัทฯจึงขาดคุณสมบัติที่จะเข้าเสนอราคา ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อครบกำหนดตามประกาศครั้งที่๒ แล้วนายวิทยาไม่ออกประกาศครั้งที่ ๓ ในทันที แต่กลับปล่อยระยะเวลาล่วงเลยมาถึง ๑๕วัน ก็เพื่อรอให้นายพีระรับโอนที่ดินมาก่อนและเมื่อนายพีระรับโอนที่ดินมาได้ ๒วัน นายวิทยาก็ออกประกาศครั้งที่ ๓
ประการที่ ๒ เกี่ยวกับเงื่อนไขในเรื่องระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อตามที่ระบุในประกาศฉบับที่ ๒และที่๓ ซึ่งได้กำหนดระยะห่างของที่ดินจากเมืองพัทยาไม่เกิน๒๕ กิโลเมตร ผิดไปจากมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดระยะห่างของที่ดินจากเมืองพัทยาไม่เกิน๑๕ กิโลเมตร โดยไม่ปรากฏว่าก่อนหรือระหว่างออกประกาศนายวิทยาได้เสนอให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด การที่นายวิทยาจงใจออกประกาศฝ่าฝืนคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นความผิดวินัยร้ายแรงแสดงว่าจะต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอนเพราะระยะห่างของที่ดินเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเนื่องจากมีผลต่อต้นทุนในการจัดเก็บขยะ เช่น ค่าขนส่ง เป็นต้น ดังที่กรมโยธาธิการได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากจะขยายระยะห่างจากไม่เกิน ๑๕ กิโลเมตร เป็นไม่เกิน๒๕กิโลเมตร ก็ควรมีที่พักขยะเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งตามเอกสารหมาย จ.๑๗๕ สอดคล้องกับคำของนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ว่า หากเมืองพัทยาจะจัดซื้อที่ดินมีระยะแตกต่างจากมติคณะรัฐมนตรีต้องให้เจ้าของเรื่อง คือ กระทรวงมหาดไทยหรือคณะกรรมการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก(สพอ.)เป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอแก้ไขโดยขณะนายสุรชัยให้การต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม๒๕๔๗ อันเป็นเวลาภายหลังเมืองพัทยาซื้อที่ดินจากนายพีระแล้ว คณะรัฐมนตรีไม่เคยมีมติให้แก้ไขเกี่ยวกับระยะห่างของที่ดิน หลังจากนายวิทยาออกประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๗ ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีแล้วก็ไม่ปรากฏว่านายวิทยาได้เสนอจังหวัดชลบุรีเพื่อเสนอหน่วยงานเจ้าของเรื่อง เสนอคณะรัฐมนตรีขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่นายวิทยากลับมีหนังสือลงวันที่๒๒กุมภาพันธ์๒๕๓๖ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ขออนุมัติซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษพร้อมกับขอตั้งคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษและคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ แม้ตามหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าขออนุมัติจัดซื้อที่ดินของนายพีระ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้เช่นนั้นเพราะในหนังสือได้อ้างถึงมติของสภาตำบลเขาไม้แก้วยินยอมให้เมืองพัทยายินยอมให้เมืองพัทยาจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะในตำบลเขาไม้แก้วได้ แสดงให้เห็นว่านายวิทยามิได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อเลยทั้งที่นายวิทยาทราบดีว่าที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ห่างจากเมืองพัทยา ๑๘.๕ กิโลเมตร เมื่อจังหวัดชลบุรีได้รับหนังสือจากนายวิทยาแล้ว นายธีระ สุนทรกมล ผู้ตรวจราชการส่วนท้องถิ่นได้ทำบันทึกถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีว่าที่ดินที่เมืองพัทยาขออนุมัติจัดซื้อนั้นผิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับระยะห่างจากเมืองพัทยาและเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีดำเนินการหารือกรมการปกครอง ต่อมากรมการปกครองได้มีบันทึกลงวันที่๑๗มีนาคม๒๕๓๖ ถึงอธิบดีกรมโยธาธิการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคช่วยพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับการเปลี่ยนระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อ กรมโยธาธิการโดยนายสุจินต์ ชาญณรงค์ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมโยธาธิการมีบันทึกข้อความลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๖ ถึงอธิบดีกรมการปกครองว่า ที่ดินที่เมืองพัทยาจะจัดซื้อมีความเหมาะสมใช้เป็นสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย จึงเห็นควรให้เปลี่ยนระยะห่างของที่ดินได้ตามเอกสารหมาย จ.๑๗๕ ต่อมาจังหวัดชลบุรีได้มีหนังสือแจ้งเมืองพัทยาว่ากรมการปกครองได้ให้ความเห็นชอบให้เปลี่ยนระยะห่างของที่ดินเป็นห่างจากเมืองพัทยาไม่เกิน ๒๕ กิโลเมตร ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ากรมการปกครองได้ขอให้คณะรัฐมนตรีทบทวนมติในเรื่องดังกล่าว นายสุจินต์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการผู้ลงนามในบันทึกที่มีถึงอธิบดีกรมการปกครองตามเอกสารหมาย จ.๑๗๕พยานโจทก์เบิกความว่า ตามบันทึกดังกล่าวกรมโยธาธิการเพียงแต่แจ้งว่าในทางเทคนิคแล้วการเพิ่มระห่างของที่ดินสามารถทำได้ แต่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้น แต่ตอบทนายจำเลยที่ ๒และที่ ๓ ถามค้านว่า กรมโยธาธิการเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิค จึงไม่มีอำนาจอนุมติให้เปลี่ยนแปลงระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ต่อมาเมืองพัทยาก็ได้ซื้อที่ดินจากนายพีระซึ่งมีระยะห่างจากเมืองพัทยา ๑๘.๕ กิโลเมตร ผิดไปจากมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดระยะห่างจากเมืองพัทยาไม่เกิน๑๕กิโลเมตร โดยไม่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะของที่ดินแต่อย่างใด ดังนั้นการที่นายวิทยาออกประกาศเมืองพัทยา เรื่องจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาในครั้งที่ ๒ และครั้งที่๓ ตามเอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๗ โดยเจตนาฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีจึงแปลเจตนาเป็นอื่นไม่ได้นอกจากกระทำไปเพื่อให้สอดรับกับที่ดินของนายพีระซึ่งมีระยะห่างจากเมืองพัทยา๑๘.๕ กิโลเมตร
ประการที่ ๓ เกี่ยวกับการส่งประกาศเรื่องจัดซื้อที่ดินตามเอกสารหมายเลข จ.๑๕ ถึง จ.๑๗ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยประชาสัมพันธ์ให้นั้น ได้ความจากพยานโจทก์ปากนางเนตรชนก ฮะสุน เจ้าหน้าที่ธุรการสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีซึ่งมีหน้าที่รับส่งหนังสือติดต่อส่วนราชการและบุคคลภายนอกว่า นางเนตรชนกเคยได้รับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ ก่อนครบกำหนดตามประกาศเพียง ๒วัน ส่วนประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๗ได้รับก่อนครบประกาศเพียง ๗วัน สำหรับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานการรับ หากได้รับเจ้าหน้าที่ธุรการจะลงไว้ในทะเบียนรับหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๘๙ นางจงกล มายรรยงค์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอบางละมุงพยานโจทก์เบิกความว่า พยานได้ตรวจสอบทะเบียนรับหนังสือพบว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ได้รับประกาศของเมืองพัทยาเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินเพียง ๒ครั้ง โดยได้รับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม๒๕๓๕ ส่วนประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๗ ได้รับเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ นางเรณี ชำนาญชานันท์ เจ้าพนักงานปกครองที่ ๓ ประจำที่ว่าการอำเภอบางละมุงพยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ลงหนังสือเบิกความว่า พยานตรวจสอบสารบบแล้วพบว่ามีการส่งประกาศเมืองพัทยา เรื่องจัดซื้อที่ดินมาให้อำเภอบางละมุงเพียงครั้งเดียวเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๕คือประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ ตามหนังสือรับเอกสารหมายจ.๘๖ พยานได้รับแล้วก็ปิดประกาศทันทีเนื่องจากใกล้ครบกำหนดตามประกาศ พยานทั้งสามปากดังกล่าวไม่รู้จักฝ่ายจำเลยมาก่อน เบิกความไปตามสัตย์ อีกทั้งยังสอดคล้องกับคำของนายสุรพล คนซื่อ พนักงานขับรถและส่งเอกสารของเมืองพัทยาพยานโจทก์ซึ่งแม้จะเบิกความในตอนแรกว่าได้จัดส่งประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ถึง จ.๑๖ ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อโจทก์ให้พยานอ่านคำให้การชั้นสอบสวนของตนตามเอกสารหมาย จ.๑๔๗ พยานก็รับว่าประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ได้ส่งไปที่งานประชาสัมพันธ์ของเมืองพัทยาเพียงแห่งเดียว ตรงกับที่พยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวระบุว่าไม่เคยได้รับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ แม้นายสุรพลจะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ถามค้านว่า พยานให้การตามที่เจ้าพนักงานตำรวจบอก แต่ก็เบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า เจ้าพนักงานตำรวจถามพยานก็ตอบคำถามไปและยังตอบทนายจำเลยที่๑ขออนุญาตศาลถามอีกว่าตำรวจเรียกพยานไปพูดคุย แล้วพิมพ์คำให้การให้พยานลงชื่อซึ่งไม่ปรากฏว่าพยานให้การโดยสมัครใจหรือเกิดจากการถูกขู่เข็ญ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าเมืองพัทยาไม่ได้มีการจัดส่งประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยปิดประกาศเพื่อประชาสัมพันธ์ ส่วนประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖และ จ.๑๗ ก็ส่งถึงหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อใกล้ครบกำหนดตามประกาศ ข้อเท็จจริงยังได้ความจากพยานโจทก์ปากนายบุญเลิศ ประสบโชค เจ้าหน้าที่การเงินของบริษัทที่ประมูลคลื่นวิทยุจากสถานีวิทยุทหารเรือ (ส.ทร.๕) ว่า นายบุญเลิศไม่เคยได้ยินประกาศทางวิทยุของสถานีดังกล่าวเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยา แม้นายบุญเลิศจะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านว่ากรณีทางราชการขอความร่วมมือให้ประกาศเรื่องใดจะส่งเรื่องให้สถานีโดยตรงโดยไม่ผ่านนายบุญเลิศก็ตาม แต่การที่นายบุญเลิศทำงานประจำอยู่ที่สถานีวิทยุดังกล่าว หากมีประกาศก็น่าจะได้ทราบและในทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏหลักฐานการส่งประกาศของเมืองพัทยาไปให้สถานีวิทยุช่วยประชาสัมพันธ์ นายบุญเลิศไม่รู้จักฝ่ายจำเลยมาก่อนเช่นกัน ย่อมไม่มีมูลเหตุจูงใจให้เบิกความปรักปรำฝ่ายจำเลย จากพยานโจทก์ที่นำสืบมาดังกล่าวข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมืองพัทยาไม่ได้จัดส่งประกาศให้สถานีวิทยุทหารเรือ (ส.ทร.๕) ช่วยกันประชาสัมพันธ์เช่นกัน การที่นายวิทยา ไม่จัดส่งประกาศไปให้หน่วยรายการที่เกี่ยวข้องหรือจัดส่งให้ในระยะกระชั้นชิดใกล้ครบกำหนดตามประกาศและไม่ส่งไปให้สถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งที่ทำได้ ส่อให้เห็นว่ามีความประสงค์ปกปิดไม่ให้ทราบกันในวงกว้างเพราะเกรงว่าจะมีผู้เสนอราคาแข่งจำนวนมากทำให้การเอื้อประโยชน์แก่นายพีระไม่อาจทำได้หรือทำได้ยากขึ้น
ประการสุดท้าย เกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบราคาที่ดินของนายพีระและที่ดินใกล้เคียง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ ๒พฤศจิกายน๒๕๓๕ นายพีระยื่นใบเสนอราคาขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่ ๑๒๑๘ ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์๒๕๓๖ นายวิทยามีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ขอทราบราคาซื้อขายที่ดินตำบลเขาไม้แก้วครั้งล่าสุดของปี ๒๕๓๕ จำนวน ๓ราย เพื่อใช้ประกอบการจัดซื้อที่ดินเป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาตามเอกสารหมาย จ.๒๕ ทั้งๆที่นายวิทยาทราบรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่นายพีระนำมาเสนอขายแล้ว การสอบถามราคาซื้อขายตามท้องตลาดของที่ดินก็ควรจะระบุตำแหน่งของที่ดินที่จะจัดซื้อให้ชัดเจนเพื่อจะได้นำราคาซื้อขายของที่ดินแปลงที่ใกล้เคียงกับที่ดินที่นายพีระเสนอขายมากที่สุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นเมืองพัทยายังละเลยที่จะขอราคาประเมินที่ดินที่นายพีระเสนอขายให้แก่เมืองพัทยามาพิจารณาเปรียบเทียบกับราคาที่นายพีระเสนอขายหรือเพื่อนำเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณจัดซื้ออีกด้วย จนกระทั่งกรมการปกครองขอให้เมืองพัทยาชี้แจงรายละเอียดของที่ดินที่นายพีระเสนอขายตลอดจนขอทราบราคากลาง นายวิทยาจึงมีหนังสือลงวันที่ ๒๐ เมษายน๒๕๓๖ ขอทราบรายละเอียดดังกล่าวจากเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ตามเอกสารหมาย จ.๒๗ ความข้อนี้จึงเป็นพิรุธ เมื่อจำเลยที่ ๕ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ได้รับหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๒๑ แล้ว ได้มีหนังสือตอบกลับโดยอ้างอิงการซื้อขายรายนายอำนวย จันทร์เทียนกับนายสมใจ จันทร์เทียน เป็นหนึ่งในสามรายการตามเอกสารหมาย จ.๒๒ ซึ่งการซื้อขายระหว่างนายอำนวยกับนายสมใจเป็นการซื้อขายกันหลอกๆโดยระบุราคาซื้อขายสูงกว่าความเป็นจริงและมิได้มีการชำระราคาดังได้ วินิจฉัยแล้ว ส่วนหนังสือของเมืองพัทยาที่ขอทราบราคาประเมินของที่ดินที่นายพีระเสนอขายนั้น จำเลยที่ ๕มีหนังสือตอบกลับว่า ได้ตรวจสอบแล้ว ไม่ได้สามารถระบุตำแหน่งที่ดินที่แน่ชัดลงในแผนที่ประเมินราคาได้พร้อมกับส่งบัญชีราคาประเมินที่ดินตำบลเขาไม้แก้วให้เมืองพัทยา เห็นว่า ที่ดินที่นายพีระเสนอขายให้แก่เมืองพัทยามีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) ซึ่งมีระวางที่เป็นภาพถ่ายทางอากาศย่อมสามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพีระเพิ่งจะจดทะเบียนโอนมาจากบริษัท เค.ที.ไอ.ที.คอปโปเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ ๒๐ตุลาคม๒๕๓๕ การจดทะเบียนดังกล่าวเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนย่อมต้องใช้ราคาประเมินในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม จึงย่อมปรากฏราคาประเมินในสารบบที่ดินแปลงนี้อยู่แล้ว อีกทั้งขณะนายพีระ โอนที่ดินให้แก่เมืองพัทยา เจ้าพนักงานผู้จดทะเบียนก็สามารถใช้ราคาประเมินในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๕ หลีกเลี่ยงที่จะแจ้งราคาประเมินที่ดินของนายพีระด้วยวัตถุประสงค์จะปกปิดราคาประเมินซึ่งมีราคาเพียงประมาณ ๑๔,๐๐๐,๐๐๐บาท เนื่องจากเกรงว่าหากเมืองพัทยาเสนอราคาประเมินของที่ดินนายพีระต่อสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติวงเงินงบประมาณในการจัดซื้อ จะทำให้ได้รับงบประมาณจัดซื้อต่ำ และเกรงว่าจะทำให้สำนักงบประมาณทราบราคาท้องตลาดของที่ดินนายพีระเพราะราคาประเมินเพิ่งจะมีการปรับให้ใกล้เคียงกับราคาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดเมื่อวันที่ ๑มกราคม๒๕๓๕ ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์๒๕๓๖ นายวิทยามีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ขอทราบราคาที่ดินบริเวณตำบลเขาไม้แก้ว ทีมีการซื้อขายหลังสุดในปี ๒๕๓๕ ตามเอกสารหมาย จ.๒๕ จำเลยที่ ๕มีหนังสือตอบกลับตามเอกสารหมาย จ.๒๖ โดยอ้างการซื้อขายราย นายอำนวย จันทร์เทียนกับนายสมใจ จันทร์เทียน รายนายเยิ้ม อยู่สบายกับอำพล จันทร์เทียนและรายนายเพ็ชร จันทร์เทียนกับนางหอม นฤทัย ซึ่งการซื้อขายใน ๒รายแรกนั้นเป็นการซื้อขายหลอกๆคู่สัญญามิได้มีเจตนาซื้อขายกันและไม่ได้มีการชำระเงินโดยขณะจดทะเบียนซื้อขายครั้งแรกมีการแจ้งราคาจดทะเบียนสูงกว่าความเป็นจริง และภายหลังเมื่อเมืองพัทยาจัดซื้อที่ดินจากนายพีระแล้ว คู่สัญญาเหล่านั้นก็โอนขายที่ดินคืนแก่กัน โดยแจ้งราคาจดทะเบียนต่ำกว่าการซื้อขายครั้งแรกอย่างมาก ดังได้วินิจฉัยแล้ว สำหรับรายนายเพ็ชรกับนางหอมก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันซึ่งก็คงจะเป็นการจดทะเบียนซื้อขายกันหลอกๆเช่นกัน จำเลยที่ ๕ ในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจดทะเบียนมีโอกาสสัมผัสกับราษฎรที่มาจดทะเบียนย่อมจะต้องทราบราคาซื้อขายตามท้องตลาดของที่ดินที่อยู่ในความรับผิดชอบในการจดทะเบียน สามารถสังเกตเห็นความผิดปรกติได้ว่าการที่ราษฎรแจ้งราคาจดทะเบียนซื้อขายสูงกว่าราคาประเมินเป็นอย่างมากย่อมจะต้องมีสิ่งผิดปรกติแอบแฝงแต่จำเลยที่ ๕กลับแจ้งราคาการซื้อขายทั้งสามรายดังกล่าวแก่เมืองพัทยา แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๕ ก็มีส่วนร่วมอยู่ในขบวนการทุจริตคอรัปชั่นในการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ด้วย ต่อมานายวิทยามีหนังสือลงวันที่ ๒๖มีนาคม๒๕๓๖ ตามเอกสารหมาย จ.๓๗ ขออนุมัติผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีซื้อที่ดินจากนายพีระโดยอ้างหนังสือของจำเลยที่ ๕ ที่แจ้งราคาซื้อขายของที่ดิน ๓แปลง ซึ่งเป็นการซื้อขายกันหลอกๆตามเอกสารหมาย จ.๒๖ และผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีได้ใช้หลักฐานการซื้อขายของที่ดินทั้ง ๓แปลงดังกล่าวประกอบการขออนุมัติวงเงินจัดซื้อจากสำนักงบประมาณดังที่นายสุพจน์ สำราญจิตต์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ ๖ สำนักงบประมาณ พยานโจทก์เบิกความว่า สำนักงบประมาณอนุมัติวงเงินงบประมาณ สำหรับการจัดซื้อที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาจำนวน ๙๓,๕๒๐,๐๐๐บาท โดยพิจารณาจากหนังสือของสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ซึ่งออกโดยจำเลยที่ ๕ ตามเอกสารหมาย จ.๒๖ กับบันทึกของกองช่างเมืองพัทยาและบันทึกของสำนักงานจังหวัดฝ่ายท้องถิ่น ซึ่งบันทึกทั้งสองฉบับหลังนี้ล้วนแต่นำข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายที่ได้รับจากจำเลยที่ ๕ มาจัดทำบันทึก พฤติการณ์ดังกล่าวส่อให้เห็นว่าการจัดซื้อที่ดินรายพิพาทนี้มีการทุจริตกระทำเป็นขบวนการโดยได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อมามีว่า เมืองพัทยาซื้อที่ดินจากนายพีระสูงกว่าราคาท้องตลาด หรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์นำสืบว่านายพีระซื้อที่ดิน ๑๕๐ ไร่ จาก บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด ในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท ตามที่นายพีระแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินในขณะจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากบริษัทดังกล่าว โดยโจทก์มีพยานหลายปากซึ่งมีที่ดินในขณะจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากบริษัทดังกล่าว โดยมีพยานหลายปากซึ่งมีที่ดินในบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยาเบิกความสนับสนุน เช่นนายสมนึก จันทร์มาก เบิกความว่า พยานทำไร่มันสำปะหลังอยู่ที่ตำบลเขาไม้แก้วบนเนื้อที่ประมาณ ๓๐ไร่ มาประมาณ ๒๐ ปีเศษ โดยเป็นที่ดินที่มีหลักฐานสทก.๒ จำนวน๑๕ไร่ ส่วนอีก ๑๕ไร่ เป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ พยานได้ขายที่ดินของตนให้เสี่ยอ๋อย ๓ไร่ ราคารวม ๕๐,๐๐๐บาท ต่อมาเสี่ยอ๋อยได้ขายให้เมืองพัทยา ที่ดินทิ้งขยะของเมืองพัทยามีเนื้อที่ ๑๔๐ ไร่ ตั้งอยู่ติดกับที่ดินของพยานโดยมีที่ดินที่เสี่ยอ๋อยซื้อจากพยานรวมอยู่ด้วย ราคาที่ดินบริเวณรอบๆที่ดินของพยานเมื่อปี ๒๕๓๔ ซื้อขายกันไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท โดยโจทก์มีนายอดิศร ผลลูกอินทร์ หรือเสี่ยอ๋อยตามที่นายสมนึกอ้างถึงเบิกความสนับสนุนว่าเมื่อปี ๒๕๓๐ พยานกับพวกร่วมกันซื้อที่ดินบริเวณตำบลเขาไม้แก้วซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็น สทก. เพื่อปลูกทุเรียนจำนวน ๓๐ ไร่ ในราคาไร่ละ ๒๐,๐๐๐บาท จากชาวบ้านหลายคนโดยมีนายสมนึกรวมอยู่ด้วย ต่อมาปี ๒๕๓๕ มีนายหน้ามาติดต่อขอซื้อที่ดินดังกล่าว พยานจึงได้ขายไปจำนวน ๗๐ ไร่ เป็นเงิน๓,๕๐๐,๐๐๐บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้เรียกพยานไปสอบปากคำตามคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑๔๖ พยานปากนี้ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า ที่ดินที่พยานขายไปดังกล่าวบางส่วนเป็นที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยา บางส่วนอยู่นอกเขต เห็นว่า พยานโจทก์ปากนายสมนึกไม่รู้จักฝ่ายจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำ เชื่อว่า พยานเบิกความไปตามสัตย์จริง ส่วนพยานปากนายอดิศรหรือเสี่ยอ๋อยมีตำแหน่งเป็นสมาชิกเมืองพัทยาและประกอบกิจการโรงน้ำแข็ง พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอิทธิพลหรือจูงใจให้พยานปากนี้ปรักปรำฝ่ายจำเลยได้ เชื่อว่า พยานให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสัตย์จริงเช่นกัน ส่วนที่นายอดิศรเบิกความตอบทนายฝ่ายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่เคยออกไปดูที่ดินที่พยานซื้อมาจากชาวบ้าน เพียงแต่ซื้อตามที่นายหน้ามาบอกขายและที่เบิกความตอบโจทก์ซักถามว่า ที่ดินที่พยานซื้อมาปัจจุบันมีบางส่วนเป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาเป็นความเข้าใจของพยานเองนั้น เป็นเรื่องผิดปรกติวิสัยของพ่อค้าและนักการเมืองท้องถิ่นที่ซื้อขายที่ดินโดยไม่เคยไปดูที่ดินและไม่ทราบตำแหน่งของที่ดิน เชื่อว่าที่เบิกความดังกล่าวน่าจะมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือฝ่ายจำเลยมากกว่า ส่วนที่นายอดิศรเบิกความว่า ที่ดินบริเวณที่ตนซื้อนั้นหากมีเอกสารสิทธิจะซื้อขายกันในราคาไร่ละ ๗๐๐,๐๐๐ถึง๘๐๐,๐๐๐บาทนั้นก็เป็นการเบิกความลอยๆจึงไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายชั้ว โพธิน เบิกความว่าพยานรับจ้างเฝ้าไร่ให้ด็อกเตอร์ประภาเนื้อที่ ๑,๗๐๐ไร่ ห่างจากที่ดินที่เมืองพัทยาซื้อจากนายพีระไม่ถึง๑ กิโลเมตร พยานพักอยู่ในที่ดินของด็อกเตอร์ประภา หากเดินทางจากที่ดินที่รับจ้างเฝ้าไปออกสู่ถนนใหญ่จะต้องผ่านที่ดินที่เมืองพัทยาใช้ทิ้งขยะ เท่าที่พยานได้ยินมาที่ดินบริเวณที่เมืองพัทยาใช้ทิ้งขยะชาวบ้านขายกันในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท ยิ่งกว่านั้น พยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๔ ถามค้านยืนยันว่า ที่พยานให้การต่อเจ้าพนักงานสอบสวนว่าที่ดินบริเวณที่เมืองพัทยาใช้ทิ้งขยะมีราคาไร่ละประมาณ ๕๐,๐๐๐บาทนั้น พยานให้การตามที่ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกัน อันเป็นการตอกย้ำว่าพยานเบิกความตามที่ได้รับรู้มาเช่นนั้นจริง นางเสานีย์ ละม้าย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความว่า เมื่อปี ๒๕๓๓ พยานเป็นผู้ติดต่อขายที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓) ให้บริษัทเค.ไอ.ทีไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด เนื้อที่ ๑,๘๐๐ไร่ ราคาไร่ละ๑๐,๐๐๐บาท หลังจากนั้นบริษัทฯได้เปลี่ยนเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่๑๑๑๐ ต่อมาปี ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๒มาติดต่อกับพยานเพื่อขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนจำนวน ๑๕๐ ไร่ พยานแจ้งให้บริษัทฯทราบ และบริษัทฯได้มอบอำนาจให้พยานแบ่งที่ดินออกเป็น ๔แปลง จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อจากบริษัทฯ ๑แปลงเนื้อที่ ๑๕๐ ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่๑๒๑๘ เอกสารหมาย จ.๕๗ พยานทราบภายหลังว่าจำเลยที่ ๒ ซื้อในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท สอดคล้องกับที่พยานปากนี้ให้การต่อเจ้าพนักงานสอบสวน ตามคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.๒๑๔ ว่า บริษัทฯได้ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่๑๒๑๘ เนื้อที่ ๑๕๐ ไร่ ในราคาไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท เพียงแต่ในชั้นสอบสวนพยานปากนี้ให้การว่า บริษัทฯ ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายพีระ ส่วนในชั้นพิจารณาพยานเบิกความว่าบริษัทฯขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ สาระสำคัญที่เกี่ยวกับราคาที่ดินที่พยานเบิกความตอบโจทก์ซักถามยังตรงกับที่พยานให้การไว้ในชั้นสอบสวนจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริง พยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๒และที่ ๓ถามค้านอีกว่า ในปี๒๕๓๓ ที่ดินของบริษัทฯส่วนที่ติดถนนสาย๓๓๑ ราคาไร่ละ ๑,๐๐๐,๐๐๐บาท แต่ที่ดิน๑๕๐ ไร่ ที่จำเลยที่๒ ซื้อจากบริษัทฯนั้นอยู่ด้านในห่างจากถนนใหญ่เกือบ ๑กิโลเมตร ส่วนที่พยานปากนี้เบิกความในนัดต่อมาตอบทนายจำเลยที่ ๑ถามค้านว่า ขณะเกิดเหตุที่ดินที่เมืองพัทยาซื้อเป็นที่ทิ้งขยะมีราคาท้องตลาดไม่ต่ำกว่าไร่ละ๘๐๐,๐๐๐บาท นั้นเป็นการเบิกความลอยๆและขัดต่อเหตุผลเพราะพยานปากนี้เบิกความว่า บริษัทฯซื้อมาเมื่อปี๒๕๓๓ แบบปลอดจำนองในราคาเพียงไร่ละ๑๐,๐๐๐บาท อีกทั้งพยานยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๔ ถามค้านอีกว่า ที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุมักมีข้อโต้แย้งหรือถกเถียงกันในเรื่องแนวเขตป่าซึ่งในการทำนิติกรรมเจ้าพนักงานที่ดินจะให้คู่สัญญาทำบันทึกยกเว้นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ จึงไม่น่าเชื่อว่า เพียงระยะเวลา ๒ ปี ราคาที่ดินดังกล่าวจะเพิ่มจากไร่ละ๑๐,๐๐๐บาท เป็นไร่ละ๘๐,๐๐๐ บาท ตามที่อ้างทั้งที่ยังมีปัญหาเรื่องว่าที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าหรือไม่ ที่ฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ว่า พยานปากนี้เบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๓ ถามค้านว่า พยานมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่ ๑๒๑๓,๑๒๑๔และ๑๒๑๕ ตามเอกสารหมาย ล.๑๘ถึงล.๒๐ ปัจจุบันติดจำนองธนาคารในวงเงิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาจำนองและบันทึกข้อตกลงต่อท้ายเอกสารหมาย ล.๒๑และ ล.๒๒ และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่ ๑๑๐๖และ๑๑๐๙ ของบริษัทนิวัชแลนด์คอปโปเรชั่น จำกัด ก็ได้จำนองไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด ในวงเงินรวม ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐บาท ตามสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายเอกสารหมาย ล.๒๘ และ ล.๒๙ ต่อมาผู้จำนองได้ขึ้นเงินจำนองอีก ๒ครั้ง รวมเป็นเงิน๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ได้พิจารณารูปที่ดินและเขตติดต่อที่ปรากฏด้านหน้าหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่๑๒๑๓ ถึง ๑๒๑๕ แล้ว ปรากฏว่าที่ดินทั้งสามแปลงตั้งอยู่ติดกันโดยด้านหน้าติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๑ ซึ่งเป็นทางหลวงระหว่างจังหวัดชลบุรีกับจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนด้านหลังติดถนนสาธารณประโยชน์ รูปที่ดินมีลักษณะเหมาะแก่การลงทุนทำธุรกิจ ส่วนที่ดินของบริษัทนิวัชแลนด์คอปโปเรชั่น จำกัด ก็ปรากฏเนื้อที่ทั้งสองแปลงรวมกันเกือบ ๑,๖๐๐ไร่ ตั้งอยู่ติดทางหลวงแผ่นดินหายเลข ๓๓๑ เช่นกันดังนั้นไม่ว่าผู้รับจำนองจะให้วงเงินคิดเป็นอัตราส่วนเท่าใดของราคาท้องตลาดของที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ไม่อาจนำมาเปรียบกับราคาที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยาเพราะทางพิจารณาได้ความว่า ที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยาขายให้แก่เมืองพัทยาอยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๑ ประมาณ ๓ กิโลเมตร ประกอบกับรูปที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยามีด้านที่ติดถนนสาธารณะเป็นส่วนน้อยและไม่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่มีลักษณะขยัก อีกทั้งยังมีข้อโต้แย้งว่าที่ดินดักล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ นอกจากนั้นเมื่อเมืองพัทยาตกลงซื้อที่ดินจากนายพีระเพียง ๑๔๐ ไร่ นายพีระได้แบ่งแยกที่ดินส่วนเกิน ๑๐ ไร่ เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่ ๑๙๘๓ และจดทะเบียนขายให้แก่นายบรรเจิด ธีระเวทย์ เมื่อวันที่๑๔กรกฎาคม ๒๕๓๖ ในราคาเพียงไร่ละ ๓๐,๐๐๐บาท ตามสำเนาสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๖๒ จากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาข้างต้น ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า นายพีระซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่๑๒๑๘ มาในราคาเกินกว่าไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท
จากพฤติการณ์การจัดซื้อที่ดินที่มีความผิดปรกติดังวินิจฉัยข้างต้นโดยเฉพาะการจัดซื้อที่ดินในราคาแพงกว่าท้องตลาดถึง ๑๐ เท่าตัวนั้นย่อมบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าในขั้นตอนกระบวนการจัดซื้อมีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะนายวิทยาซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยาผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดซื้อ มีพฤติการณ์ผิดปรกติวิสัยหลายประการดังวินิจฉัยข้างต้น เมื่อพิจารณาประกอบกับหลังจากเมืองพัทยารับโอนที่ดินจากนายพีระแล้ว ปรากฏว่านายวิทยาได้นำเช็คที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่าย จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐บาทตามเอกสารหมาย จ. ๑๑๐ และเช็คที่ภริยาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๐๒ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑หรือภริยามีธุรกิจใดๆกับนายวิทยา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า นายวิทยาซึ่งมีหน้าที่จัดซื้อที่ดินได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทุจริตในการจัดซื้อที่ดินจากนายพีระอันเป็นการเสียหายแก่เมืองพัทยาทำให้ต้องซื้อที่ดินแพงกว่าราคาท้องตลาดเป็นอย่างมาก เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๕๑และมาตรา ๑๕๗
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ ๔ได้ร่วมกับนายวิทยาในการจัดซื้อครั้งนี้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ ๔ ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานนิติกร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการจัดซื้อที่ดินซึ่งในขั้นตอนการจัดซื้อกระทำกันอย่างรีบเร่งผิดปรกติ กล่าวคือคณะกรรมการจัดซื้อประชุมพิจารณาเรื่องจัดซื้อเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ โดยมีนายวิทยา ในฐานะประธานกรรมการจัดซื้อ เป็นประธานในการประชุมและจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นกรรมการจัดซื้อได้เข้าร่วมประชุมด้วย ในการพิจารณาของคณะกรรมการปรากฏว่าคณะกรรมการเพียงแต่นำราคาซื้อขายที่ดินในตำบลเขาไม้แก้วจำนวน ๓ราย ที่เมืองพัทยามีหนังสือสอบถามไปยังจำเลยที่ ๕ มาหาราคาเฉลี่ยทั้งสามแปลง แล้วสรุปให้ใช้เกณฑ์ราคาดังกล่าวในการเจรจาต่อรองกับเจ้าของที่ดินโดยคณะกรรมการไม่ได้คำนึงว่า ราคาจดทะเบียนซื้อขายที่ดินทั้งสามแปลงที่จำเลยที่ ๕ อ้างว่าได้สุ่มมานั้น มีสภาพที่ดินเป็นอย่างไร ตั้งอยู่ห่างจากที่ดินที่จะจัดซื้อมากน้อยเพียงใดและคณะกรรมการไม่ได้พิจารณาถึงข้อมูลอื่นๆ ของที่ดินที่จะจัดซื้อ เช่น ที่ดินตกอยู่ในฐานะถูกรอนสิทธิหรือไม่คงอยู่ในเขตป่าไม้หรือไม่ ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยซึ่งถือเป็นหน้าที่อันสำคัญของคณะกรรมการจัดซื้อจะต้องดำเนินการเพื่อจะได้ทราบราคาท้องตลาดของที่ดินที่จะซื้อ แต่คณะกรรมการจัดซื้อกลับพิจารณาอย่างรวบรัดแล้วมีมติให้เชิญเจ้าของที่ดินพาคณะกรรมการจัดซื้อไปดูที่ดินในวันรุ่งขึ้น พร้อมกำหนดนัดเจรจากับเจ้าของที่ดินในวันถัดมาเวลา ๙ นาฬิกา คณะกรรมการได้ออกไปดูที่ดินในวันรุ่งขึ้นและในวันถัดมาก็ทำบันทึกเสนอเห็นสมควรให้ซื้อที่ดินจากนายพีระในราคาไร่ละ๖๖๘,๐๐๐บาท พฤติการณ์ของคณะกรรมการจัดซื้อส่อไปในทางทุจริต หาใช่เพียงบกพร่องต่อหน้าที่ไม่ จำเลยที่ ๔ ซึ่งร่วมพิจารณาในคณะกรรมการจัดซื้อไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ควรจะเป็น และจะอ้างว่าเป็นมติส่วนใหญ่ของคณะกรรมการจัดซื้อตามที่จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์หาได้ไม่ เพราะตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๓๕ ข้อ ๒๙ วรรคสาม ที่จำเลยที่ ๔ อ้างมาท้ายอุทธรณ์ บัญญัติว่าหากกรรมการคนใดไม่เห็นด้วยกับมติกรรมการ ให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ได้ทำบันทึกความเห็นแย้ง และยังนำสืบว่าคณะกรรมการจัดซื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยหน้าที่แล้ว นอกจากนี้คณะกรรมการจัดซื้อรวมทั้งจำเลยที่ ๔ มีโอกาสได้ไปดูสภาพที่ดินที่นายพีระเสนอขาย ก็น่าจะสังเกตุพบเห็นความผิดปรกติได้ไม่ยากจากรูปลักษณะของที่ดินรวมทั้งตลอดทั้งสามารถสอบถามราคาจากชาวบ้านได้ ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับมอบอำนาจจากเมืองพัทยาไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากนายพีระได้ลงชื่อในบันทึกถ้อยคำซึ่งมาข้อความ “ด้วยที่ดินแปลงดังกล่าวข้างต้น กรมป่าไม้ได้เคยออกแนวเขตป่าสงวนทับเขตไว้ ข้าพเจ้าผู้ซื้อและผู้ขายรับทราบแล้ว ยืนยันจะซื้อขายกัน หากเกิดความเสียหาย ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น” เมื่อพิจารณาถึงสถานภาพของจำเลยที่ ๔ ซึ่งมีอายุ๔๐ปี รับราชการมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้างานนิติกร ระดับ ๖ ถือว่าผ่านประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานมามาก โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ ย่อมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเป็นอย่างดี เมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานที่ดินเช่นนั้น หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา จะต้องปฏิเสธการรับโอนแล้วรายงานผู้บังคับบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างเสียก่อน เพราะแม้เพียงข้อสงสัยว่าที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ ย่อมมีผลต่อราคาซื้อขายเป็นอย่างมาก หรือถ้าหากที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วย่อมไม่อาจซื้อขายกันได้เลย เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเมืองพัทยาอย่างร้ายแรง เรื่องนี้แม้ใช้สามัญสำนึกของวิญญูชนผู้ซื้อที่ดิน หากพบข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้ผู้ซื้อต้องเสียเปรียบเช่นนั้น ย่อมต้องปฏิเสธการรับโอนแน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ซื้อที่ดินรายพิพาทในฐานะส่วนตัว เมื่อพบข้อเท็จจริงดังกล่าวเชื่อได้ว่าจำเลยที่ ๔ ก็คงปฏิเสธการรับโอน แต่จำเลยที่ ๔ กลับยอมลงชื่อในบันทึกข้อความดังกล่าวและรับโอนที่ดินจากนายพีระ ที่จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๔ ได้โทรศัพท์แจ้งนายวิทยา นายวิทยาได้ปรึกษานายสุพงษ์ อำไพกิจพาณิชย์ รองปลัดเมืองพัทยา แล้วนายวิทยาแจ้งยืนยันให้จำเลยที่ ๔ รับโอนได้ หากจำเลยที่ ๔ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งย่อมเป็นการผิดวินัยนั้น เห็นว่า ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้สอบจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้ต้องหาว่า เมื่อจำเลยที่ ๔ ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานสอบสวนที่ดินว่าที่ดินที่นายพีระเสนอขายให้แก่เมืองพัทยานั้น กรมป่าไม้ได้เคยออกแนวเขตป่าไม้ไว้แล้ว จำเลยที่ ๔ ได้แจ้งให้ปลัดเมืองพัทยาหรือผู้ใดทราบหรือไม่ จำเลยที่ ๔ กลับไม่ขอให้การในเรื่องดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวน แต่ขอให้การชั้นศาล หากจำเลยที่ ๔ ได้แจ้งนายวิทยาถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวตามที่เบิกความก็ไม่มีเหตุที่จะไม่ให้การต่อพนักงานสอบสวนเพราะเป็นข้อที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาประโยชน์ของบ้านเมือง แต่จำเลยที่ ๔ เพิ่งมาเบิกความในชั้นพิจารณาถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวหลังจากนายวิทยาถึงแก่ความตายไปแล้ว แม้จำเลยที่ ๔ จะมีนายสุพงษ์ ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองปลัดเมืองพัทยาเบิกความสนับสนุนว่า ขณะจดทะเบียนจำเลยที่ ๔ ได้โทรศัพท์มาสอบถามพยานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พยานได้ให้ความเห็นไปว่าการลงชื่อในบันทึกข้อความดังกล่าวไม่มีผลตามกฎหมายและแจ้งให้ จำเลยที่ ๔ ลงชื่อในบันทึกได้ แต่ก็ขัดกับคำเบิกความของจำเลยที่ ๔ ซึ่งเบิกความว่า จำเลยที่ ๔โทรศัพท์แจ้งปลัดเมืองพัทยา แต่ได้รับแจ้งว่าให้รอสักครู่ขอปรึกษากับนายสุพงษ์รองปลัดเมืองพัทยาก่อน หลังจากนั้นประมาณ ๕ นาฑี จำเลยที่ ๔ ก็ได้รับแจ้งจากเมืองพัทยาให้ลงชื่อรับโอนที่ดินได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ ๔ในเรื่องนี้จึงไม่อาจรับฟังได้ อย่างไรก็ตามโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับทรัพย์สินจากการจัดซื้อครั้งนี้ รูปคดีจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยที่ ๔ ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ แต่การกระทำของจำเลยที่ ๔ ดังวินิจฉัยข้างต้นเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เมืองพัทยา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๔ ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ที่จำเลยที่ ๔อุทธรณ์ว่า การจัดซื้อที่ดินพิพาทได้ทำตามระเบียบราชการทุกขั้นตอน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้วนั้นเห็นว่า การจัดซื้อได้ทำตามระเบียบราชการหรือไม่ กับผู้มีหน้าที่จัดซื้อได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือไม่นั้น เป็นคนละประเด็นกัน แม้การจัดซื้อจะทำตามระเบียบราชการผู้มีหน้าที่จัดซื้อก็อาจทำการทุจริตในการจัดซื้อได้ดังที่ทราบกันทั่วไปว่าการทุจริตคอรัปชั่นในวงการราชการ มีการพัฒนารูปแบบให้มีความแนบเนียนยิ่งขึ้น โดยการออกกฎระเบียบรองรับการทุจริตหรือที่เรียกว่า คอรัปชั่นเชิงนโยบายซึ่งยากแก่การปราบปราม ทำให้ประเทศชาติสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นจำเลยที่ ๔ จึงไม่อาจอ้างว่าการจัดซื้อถูกต้องตามระเบียบราชการมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดในเมื่อได้มีการจัดซื้อที่ดินสูงกว่าราคาท้องตลาดถึง ๑๐ กว่าเท่าตัว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ในข้อต่อมามีว่า จำเลยที่ ๓ ได้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔ และนายวิทยากระทำความผิดตามคำฟ้องข้อ(ก)หรือไม่ โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ กับพวกร่วมกับสนับสนุนจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และนายวิทยาในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ ๑๕๗ โดยร่วมกันกระทำการอันเป็นความผิดฐานสนับสนุน ๓ประการด้วยกัน คือประการแรก ร่วมกันดำเนินการให้นายพีระซื้อที่ดินซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด ในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท ประการที่ ๒ ร่วมกันดำเนินการให้นายอำนวย จันทร์เทียน นายสมใจ จันทร์เทียน นายเยิ้ม อยู่สบาย นายอำพล จันทร์เทียน นายเพ็ชร จันทร์เทียน นางหอม นฤทัย ซึ่งมีที่ดินตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่ดินนายพีระซื้อจากบริษัทดังกล่าวไปจดทะเบียนซื้อขายกันในราคาสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานแสดงว่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินที่นายพีระซื้อจากบริษัทดังกล่าวมีราคาใกล้เคียงกับที่ดินที่จำเลยที่ ๓กับพวก จะเสนอขายให้แก่เมืองพัทยา และประการที่ ๓ ร่วมกันดำเนินการให้ราษฎร ๖ราย ดังกล่าวแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง จดทะเบียนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นเท็จ ความจริงไม่มีการชำระราคาซื้อขายตามที่แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินแต่อย่างใด ทั้งนี้เพื่อนำหลักฐานการซื้อขายไปใช้ประกอบในการที่เมืองพัทยาซื้อที่ดินจากนายพีระ เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่ได้วินิจฉัยตามฟ้องข้อ (ง) แล้วว่า จำเลยที่ ๓ได้ใช้นายอำนวย จันทร์เทียนกับนางสมใจ จันทร์เทียน แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุงจดทะเบียนซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๒๘๒๗ ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในราคา๑,๒๐๐,๐๐๐บาท อันเป็นเท็จ ความจริงบุคคลทั้งสองไม่ได้มีเจตนาซื้อขาย และไม่มีการชำระราคาที่ดินกัน ทั้งนี้เพื่อนำหลักฐานการซื้อขายไปใช้ประกอบการเสนอขายที่ดินบริเวณใกล้เคียงให้แก่เมืองพัทยา และใช้นายอำพล จันทร์เทียน กับนายเยิ้ม อยู่สบาย กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันตามคำฟ้องข้อ (ฉ) ดังนั้นพึงเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๓ ตามฟ้องข้อ (ง) และ(ฉ) ย่อมเป็นการกระทำเดียวกันตามฟ้องข้อ(ข) จำเลยที่ ๓ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๕๗ และฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นายวิทยากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ กับพวกร่วมดำเนินการให้นายพีระไปติดต่อซื้อที่ดินจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ. จำกัด คอปโปเรชั่น จำกัด จำนวน ๑๕๐ ไร่ ในราคาไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท นั้น โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบตามที่ฟ้อง ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๓ กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ ๑๕๗ ตามคำฟ้องข้อ (ข) จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ ต้องลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖ ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ ๓ มานั้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ ๓ มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๓ กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔และนายวิทยากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ ๑๕๗ ตามคำฟ้องข้อ(ข) และกระทำความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๔ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เห็นสมควรวินิจฉัยในความผิดทั้ง ๒ ข้อหา ดังกล่าวไปพร้อมกัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายพีระซื้อที่ดินมาในราคาไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท จำนวน ๑๔๐ ไร่ เพียงชั่วระยะเวลา ๖ ถึง ๗เดือน ได้ขายให้แก่เมืองพัทยาในราคาไร่ละ ๖๖๘,๐๐๐บาท มีกำไรถึง ๘๖,๐๐๐,๐๐๐บาท เศษ โดยนายวิทยาปลัดเมืองพัทยาซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงสุดในเมืองพัทยาเป็นประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ กระทำการทุจริตในการจัดซื้อได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าต้องมีกลุ่มบุคคลร่วมทุจริตอยู่เบื้องหลังอีกหลายคนอย่างแน่นอน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ นั้น โจทก์นำสืบว่า นายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ โดยโจทก์มีนายสมุทร ศิลปรัตน์ ลูกจ้างประจำของมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเป็นพี่ชายนายพีระเบิกความว่า เดิมนายพีระชื่อเฉลียวและมีชื่อในสำเนาทะเบียนบ้านพักอาศัยตามสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.๑๔๘ ก่อนเกิดเหตุนายพีระทำงานเป็นคนสวนอยู่ที่บ้านของจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ทราบว่านายพีระพักอาศัยที่บ้านจำเลยที่ ๑ หรือเดินทางไปกลับ พยานเคยไปที่บ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒ ถึง ๓ครั้ง เท่าที่ทราบนายพีระไม่มีทรัพย์สินหรือเงินเก็บ พยานรู้จักจำเลยที่ ๑และได้ชี้ตัวจำเลยที่ ๑ ในห้องพิจารณา ข้อเท็จจริงที่พยานตอบโจทก์ซักถามดังกล่าวสอดคล้องกับที่พยานให้การต่อพนักงานสอบสวนตามคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑๙๖ พยานปากนี้ให้การชั้นสอบสวนมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของนายพีระว่า นายพีระ จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่๖ จากโรงเรียนแสนสุขแล้วไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ที่โรงเรียนชลราษฎร์อำรุง แต่ไม่สนใจการเรียนจนถูกโรงเรียนไล่ออก หลังจากพ้นเกณฑ์ทหารแล้ว นายพีระได้คบหาเที่ยวเตร่กับนายสมชาติ คุณปลื้ม น้องชายคนเล็กของจำเลยที่ ๑ จนถูกชักนำไปทำงานที่บ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๕ ถึง ๖ปี ทำหน้าที่ดูแลต้นไม้เพราะนายพีระ มีความรู้ด้านการตกแต่งสวนหย่อม นายพีระติดเฮโรอินถูกจับกุมและศาลพิพากษาจำคุกประมาณ ๒ ปี หลังพ้นโทษแล้วเลิกเสพเฮโรอินได้ จำเลยที่ ๑ จึงรับกลับเข้าทำงานเดิม เห็นว่า พยานปากนี้เป็นพี่ชายย่อมไม่มีเหตุจูงใจที่จะให้การบิดเบือนเกี่ยวกับประวัติของนายพีระ การที่พยานสามารถให้การต่อพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับประวัติของนายพีระได้อย่างละเอียดแสดงว่าพยานได้ติดตามและทราบความเป็นมาเป็นไปของนายพีระพอสมควร ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพยานปากนี้ว่า บ้านที่พยานพักอาศัยซึ่งนายพีระมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านนั้น เป็นบ้านของมารดาพยาน พยานพักอาศัยอยู่กับครอบครัวมา ๒๐ปี โดยนายพีระไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวประมาณ ๒๐ ปี แล้วเช่นกัน ข้อเท็จจริงที่พยานเบิกความว่า รู้จักจำเลยที่ ๑ และเคยไปบ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒ ถึง ๓ครั้ง ก็ตรงกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน และในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพบ้านของพยานปากนี้ไว้ปรากฏว่าเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้สภาพเก่าและปลูกอยู่ในสวนโดยมิได้มีสภาพเป็นเขตชุมชนตามภาพถ่ายหมาย จ.๑๐๒ ดังนั้น ที่พยานเบิกความว่า นายพีระมีสถานภาพเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ และไม่มีทรัพย์สินหรือเงินเก็บจึงมีเหตุผลน่ารับฟัง ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่าพยานปากนี้เบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านตอนหนึ่งว่า พยานทราบว่านายพีระมีอาชีพรับจ้างตกแต่งสวนตามสถานที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่านายพีระมิได้เป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นผู้รับจ้างจัดสวนหย่อมเป็นการทั่วไปนั้น เห็นว่า เป็นการเบิกความลอยๆขัดกับที่ให้การไว้โดยละเอียดในชั้นสอบสวน จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง และที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์อีกว่า พยานปากนี้เบิกความว่า เคยไปที่บ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒ ถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่เคยพบนายพีระหากนายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ พยานก็น่าจะพบนายพีระนั้น เห็นว่า การที่พยานไปบ้านจำเลยที่ ๑ เพื่อพบนายพีระนั้นกลับเป็นการแสดงให้เห็นว่านายพีระน่าจะเป็นคนทำสวน ของจำเลยที่ ๑ ส่วนการไปแล้วไม่พบก็อาจเกิดจากนายพีระออกไปธุระนอกบ้าน ข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายดาบนิพนธ์ สุทธิอัมพร เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรตำบลแสนสุขซึ่งบ้านของจำเลยที่ ๑ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบเบิกความว่า พยานรู้จักนายพีระ ก่อนเกิดเหตุนายพีระเป็นคนทำสวนอยู่ที่บ้านของจำเลยที่ ๑ โดยนายพีระเคยมาติดต่อขอให้พยานไปจับกุมคนร้ายในกรณีพี่สาวนายพีระถูกสามีแทงตายซึ่งพยานจับกุมคนร้ายได้ ขณะนั้นนายพีระยังทำงานเป็นคนทำสวนอยู่ที่บ้านจำเลยที่ ๑ ข้อที่พยานเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านว่า พยานเห็นนายพีระ ทำสวนและติดต่อที่บ้านจำเลยที่ ๑ จึงเข้าใจว่านายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ นั้น ไม่มีเหตุผลให้รับฟังเป็นอย่างอื่นเพราะวิสัยของตำรวจต้องซักถามรายละเอียดของผู้มาร้องทุกข์ให้จับคนร้ายในคดีฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นคดีอุกฉกรรจ์ หากนายพีระประกอบอาชีพรับเหมาตกแต่งสวนหย่อมให้จำเลยที่ ๑ ตามที่จำเลยที่ ๑นำสืบก็ไม่มีเหตุที่นายพีระต้องให้ที่อยู่เจ้าพนักงานตำรวจติดต่อที่บ้านของจำเลยที่ ๑ และโจทก์ยังมี นางสนอง เปรมเจริญ ซึ่งเคยทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดบ้านจำเลยที่ ๑ ในระหว่างปี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ เป็นพยานนำสืบถึงสถานภาพของนายพีระโดยโจทก์นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายพีระตามเอกสารหมาย จ.๑๔๘ ให้พยานดู พยานดูแล้วเบิกความว่าบุคคลตามบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวพยานรู้จักในชื่อนายเฉลียวซึ่งเป็นผู้พาคนงานเข้ามาจัดสวนที่บ้านจำเลยที่ ๑ เป็นประจำ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชื่อของนายพีระที่ว่าเดิมชื่อนายเฉลียวก็ตรงกับคำของนายสมุทรซึ่งเป็นพี่ชายนายพีระ เมื่อโจทก์อ่านคำให้การชั้นสอบสวนให้พยานฟังเกี่ยวกับเงินเงินเดือนของนายพีระก็รับฟังว่าได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่านายพีระรับเงินเดือน๔,๐๐๐บาท โดยประมาณการจากเงินเดือนที่พยานรับอยู่ ๙๐๐ บาท ส่วนคำให้การชั้นสอบสวนที่ระบุว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้นายพีระนั้น พยานเบิกความว่า ความจริงแล้วภริยาของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่าย พยานปากนี้ยังให้การในชั้นสอบสวนอีกว่า พยานไม่เคยเห็นนายพีระมีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ คงใช้แต่รถยนต์กระบะของจำเลยที่ ๑ เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของพยานปากนี้พบว่าเบิกความเป็นเหตุเป็นผลไม่มีลักษณะส่อไปในทางปรักปรำจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ก็รับว่าพยานปากนี้เคยทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านจำเลยที่ ๑จริง ส่วนที่จำเลยที่ ๑ เบิกความว่า สามีของพยานปากนี้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรแสนสุข โดยหน้าที่แล้วก็เป็นลูกน้องของพลตำรวจโทเสรีซึ่งมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นข้ออ้างที่ไกลเกินกว่าเหตุเพราะข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าสามีของพยานปากนี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาที่กระทำผิดในคดีนี้เลย ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ เมื่อพิจารณาสถานภาพของนายพีระแล้วจะเห็นว่าไม่ปรากฏว่านายพีระมีบ้านหรือทรัพย์สินใดๆไม่ปรากฏหลักฐานถึงสถานภาพทางการเงินว่าจะเป็นผู้มีเงินหลายล้านบาทไปซื้อที่ดินมาขายให้กับเมืองพัทยา แม้แต่ค่าธรรมเนียมในการโอนขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยายังต้องให้นายวิชัย คูหา ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง นำเงินของธนาคารมาทดรองจ่าย พฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่านายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑
โจทก์ยังมีนายปัญญา โพธิ์แก้ว เจ้าหน้าที่ป้องกันดับเพลิงประจำเมืองพัทยาเบิกความว่า ประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๕ พยานทราบประกาศจัดซื้อที่ดินตามเอกสารหมาย จ.๑๕ จึงแจ้งนายวีระ บำรุงยา ซึ่งเป็นเพื่อนให้จัดหาที่ดินมาเสนอขาย ต่อมานายวีระรวบรวมที่ดินได้ ๑๕๐ ไร่ ห่างจากเมืองพัทยา ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ในราคาไร่ละ๓๐๐,๐๐๐บาทถึง ๕๐๐,๐๐๐บาท พยานไปดูที่ดินที่นายวีระรวบรวมด้วย แต่พยานเบิกความตอบโจทก์ซักถามในตอนต่อมาว่า พยานตรวจดูเอกสารสิทธิของที่ดินที่นายวีระนำมาให้ดูแล้วพบว่าคุณสมบัติไม่ตรงตามประกาศของเมืองพัทยาเพราะที่ดินบางแปลงมีทางสาธารณะผ่ากลางจึงปรึกษานายวัฒนา จันทร์วรานนท์ สมาชิกเมืองพัทยา ทำให้ทราบว่ามีผู้ขายที่รายอื่นได้เสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาเรียบร้อยแล้วโดยผู้เสนอขายคือกำนัน พยานคืนเอกสารสิทธิให้นายวีระไป เห็นว่าพยานปากนี้เบิกความขัดแย้งกันเอง กล่าวคือ เบิกความตอนต้นว่า นายวีระได้นำเอกสารสิทธิมาให้พยานดูและพยานได้ไปดูที่ดินด้วย แต่กลับเบิกความในตอนต่อมาว่า เมื่อตรวจดูเอกสารสิทธิแล้วพบว่าคุณสมบัติไม่ถูกต้องเพราะที่ดินมีทางสาธารณะคั่นกลาง หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมไม่มีเหตุที่พยานต้องไปดูสภาพที่ดิน พยานปากนี้ยังเบิกความตอบโจทก์ว่า ที่ดินที่นายวีระรวบรวมห่างจากเมืองพัทยาประมาณ ๑๕ กิโลเมตร แต่กลับเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านว่า ที่ดินที่นายวีระรวบรวมมาห่างจากเมืองพัทยาเกิน ๑๕ กิโลเมตร โดยเฉพาะนายวัฒนา จันทนวรานท์ ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์กลับเบิกความว่า พยานได้ตรวจดูหลักฐานที่ดินที่นายปัญญานำมาเสนอขาย ปรากฏว่ามีเนื้อที่เพียง ๙๐ไร่ จึงบอกให้นายปัญญาไปหาทิ่ดินเพิ่ม แต่นายปัญญาตอบว่าไม่ทราบว่าจะหาที่ดินเพิ่มได้ทันหรือไม่ เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียง ๑วัน ก็จะครบกำหนดตามประกาศของเมืองพัทยา ต่อมาพยานพบนายปัญญาจึงได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายปัญญาบอกว่าหาที่ดินเพิ่มไม่ทันกำหนด จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากซึ่งเบิกความในเรื่องเดียวกันแต่แตกต่างกันเช่นนี้ แสดงว่าพยานโจททั้งสองปากดังกล่าวมิได้เบิกความตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่าที่นายปัญญา เบิกความว่านายวัฒนาแจ้งว่ามีกำนันเป็นผู้เสนอขายที่ดินแก่เมืองพัทยา ซึ่งเป็นเหตุให้นายปัญญาถึงกับตัดสินใจไม่นำที่ดินที่ให้นายวีระรวบรวมมายื่นเสนอขายต่อเมืองพัทยานั้น เป็นเรื่องที่น่าจะต้องพิจารณาต่อไปว่ากำนัน ที่นายปัญญาเบิกความถึงนั้นหมายถึงใคร เพราะขณะนายปัญญารวบรวมที่ดินนั้นอยู่ระหว่างเมืองพัทยาเพิ่งออกประกาศครั้งแรกซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏในภายหลังว่า การประกาศครั้งแรกไม่มีผู้ใดเสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ จะได้พิจารณาคำเบิกความของพยานทั้งสองปากนี้ว่าจริงน่าจะเป็นเช่นไร โดยโจทก์มีนางเคี้ยน อ่ำแห เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ นายวีระ บำรุงยา ญาติพยานได้ขอให้พยานหาที่ดินบริเวณตำบลเขาไม้แก้วประมาณ ๒๐๐ ไร่ ให้ครบภายใน ๗วัน เพื่อเสนอขายให้แก่เมืองพัทยาใช้เป็นที่ทิ้งขยะ พยานไปติดต่อลูกหลานที่มีที่ดินบริเวณดังกล่าวปรากฏว่ารวบรวมที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ก.) ได้ประมาณ ๑๖๐ ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากบ้านพยานประมาณ ๙กิโลเมตร โดยบ้านพยานห่างจากเมืองพัทยาประมาณ ๒กิโลเมตรโดยเสนอขายราคาไร่ละ ๓๐๐,๐๐๐บาทถึง ๕๐๐,๐๐๐บาท เมื่อพยานรวบรวมที่ดินได้ ๑๖๐ ไร่ แล้ว นายวีระบอกให้พยานนำเอกสารสิทธิของที่ดินไปยื่นเสนอต่อเมืองพัทยา แต่ในเย็นวันเดียวกันนั้นนายวีระมาบอกว่าไม่ต้องไปยื่นประมูลแล้ว เนื่องจากกำนันได้ยื่นเสนอขายในราคาต่ำกว่า พยานทราบภายหลังว่ากำนันที่เสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยา ตามที่นายวีระบอกคือจำเลยที่ ๑ พยานปากนี้เป็นชาวบ้านมีอายุมากถึง ๗๔ ปี ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าพยานรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ ๑ มาก่อน และยังเบิกความว่า เพิ่งเคยเห็นจำเลยที่ ๑ ในวันที่เบิกความนั่นเอง ข้อที่พยานอ้างว่ารวบรวมที่ดินได้ ๑๖๐ ไร่ นั้น พยานก็สามารถตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ ๑ แจกแจงถึงเจ้าของที่ดินแต่ละคนที่พยานไปรวบรวมมาซึ่งมีทั้งหมด ๗ คน จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่า พยานเบิกความตามที่ตนประสบพบเห็นจริง พยานปากนี้ยังตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านยืนยันว่า พยานทราบจากนายวีระว่ากำนันเป๊าะ ซึ่งหมายถึงจำเลยที่ ๑ เป็นผู้นำที่ดินไปขายให้แก่เมืองพัทยา เมื่อพิเคราะห์ถึงพยานปากนี้ประกอบคำของนายปัญญาและนายวัฒนาแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อที่นายปัญญาอ้างว่าที่ดินมีทางสาธารณะคั่นกลางไม่ติดต่อเป็นแปลงเดียวกันก็ดี หรือข้อที่นายวัฒนา อ้างว่านายปัญญาไม่สามารถรวบรวมที่ดินครบตามประกาศของเมืองพัทยาก็ดี ล้วนแต่ขัดกับคำเบิกความของนางเคี้ยน จึงรับฟังไม่ได้และยังบ่งชี้ให้เห็นอีกว่ากำนันที่เสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาจนเป็นเหตุให้นายปัญญาตัดสินใจไม่ยื่นเสนอแข่งด้วยนั้นก็คือกำนันเป๊าะหรือจำเลยที่ ๑ นั่นเอง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายพีระเป็นเพียงคนทำสวนในบ้านจำเลยที่ ๑ และเป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ในการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยา ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๑ ให้นายพีระซื้อที่ดินจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด ในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แล้วขายให้แก่เมืองพัทยาในราคาไร่ละ ๖๖๘,๐๐๐บาท โดยที่จำเลยที่ ๔และนายวิทยาทราบดีอยู่แล้วถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ยังดำเนินการจัดซื้อโดยเจตนาทุจริตเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๔ และนายวิทยาเพราะหากจำเลยที่ ๑ ไม่ดำเนินการให้นายพีระไปซื้อที่ดินจากบริษัทดังกล่าวมาเพื่อเสนอขายให้แก่เมืองพัทยา จำเลยที่ ๔กับนายวิทยาย่อมไม่อาจกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ ๑๕๑ ได้สำเร็จ แต่เนื่องจากความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวผู้กระทำจะต้องเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่เท่านั้น แต่จำเลยที่ ๑ ขาดคุณสมบัติดังกล่าวอันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความผิด การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเพียงความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔ และนายวิทยากระทำความผิดดังกล่าว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่า จำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับพวกดำเนินการให้นายอำนวย นายสมใจ นายเยิ้ม นายอำพล นายเพ็ชรและนางหอม ซึ่งมีที่ดินอยู่บริเวณใกล้เคียงไปแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง จดทะเบียนซื้อขายที่ดินแก่กันอันเป็นความเท็จหรือไม่อีกต่อไป
ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อมาว่า ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิครอบครองเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ เมืองพัทยาได้จ่ายค่าที่ดินให้นาย
พีระเป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) สาขาพัทยา จำนวนเงิน ๙๓,๕๒๐,๐๐๐บาท นายวิชัยผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาบ้านฉาง ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาบ้านฉางซึ่งเปิดไว้ก่อนแล้ว นายพีระกับนายวิชัยเดินทางมาที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง นายวิชัยนำใบถอนเงินให้นายพีระลงชื่อไว้หลายฉบับ ในวันเดียวกันนั้นนายพีระถอนเงิน ๓๒,๐๖๐,๙๘๖ บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารเดียวกัน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐บาท อีก ๒,๒๖๐,๙๘๖ บาท จ่ายค่าธรรมเนียมที่ธนาคารทดรองออกไปก่อน วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๓๖ มีการถอนเงินจากบัญชีนายพีระ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ วันที่ ๒๒ มิถุนายน๒๕๓๖ มีการถอนเงินจากบัญชีนายพีระ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ มีการโอนเงินจากบัญชี นายพีระ ๑๙,๗๖๑,๐๐๐บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐บาท และโอนเข้าบัญชีของภริยาจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหนองมน จำนวน ๑๓,๐๐๐,๐๐๐บาท ส่วนอีก ๑,๗๖๐,๐๐๐บาท ไม่ปรากฏที่ไปของเงิน และวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๖ มีการถอนเงินจากบัญชีนายพีระเป็นครั้งสุดท้าย จำนวน ๖,๕๓๕,๐๔๒.๗๔ บาท จนเงินหมดบัญชีและปิดบัญชี จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าหลังจากเมืองพัทยาจ่ายค่าที่ดินแล้ว กระแสการไหลของเงินที่นายพีระได้จากการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาได้ไหลออกจากบัญชีของนายพีระไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ เกือบทั้งหมด คงไม่ปรากฏที่ไปของเงินเพียง ๘,๐๐๐,๐๐๐บาท กว่าบาทเท่านั้น ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อมาว่า หลังจากกระแสเงินไหลจากบัญชีนายพีระไปสู่บัญชีของจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้โอนเงินเข้าบัญชีของภริยารวม ๓ ครั้ง จำนวน ๗๐,๐๐๐,๐๐๐บาท คือในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐บาท วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และวันที่ ๖กรกฎาคม ๒๕๓๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับเงินที่นายพีระโอนเข้าบัญชีภริยาจำเลยที่ ๑ อีก ๑๓,๐๐๐,๐๐๐บาทแล้ว เท่ากับมีเงินไหลเข้าบัญชีของภริยาจำเลยที่ ๑ ถึง ๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อมาอีกว่า กระแสการไหลของเงินในบัญชีของภริยาจำเลยที่ ๑ ได้ไหลกลับเข้าบัญชีจำเลยที่ ๑ ที่เปิดไว้กับธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดชลบุรี กล่าวคือ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๖ ภริยาจำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหนองมน ๑๑,๐๐๐,๐๐๐บาท วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีที่จำเลยที่ ๑กับพวกเปิดไว้ที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาหนองมน อีก ๑๐,๐๐๐,๐๐๐บาท จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า เหตุที่จำเลยที่ ๑ โอนค่าที่ดินเข้าบัญชีของภริยาที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหนองมน เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีบัญชีของธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ทำให้ไม่สะดวกในการแบ่งเงินแก่คู่กรณี ๓ ฝ่ายนั้น ไม่สมเหตุผลเพราะการที่จำเลยที่ ๑ กับนายพีระมาเปิดบัญชีที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งไกลจากเมืองพัทยานั้นเป็นการส่อพิรุธ และข้อที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์อีกว่า นายวิชัย รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยที่ ๑ จึงขอร้องให้จำเลยที่ ๑ ช่วยพูดกับนายพีระมาเปิดบัญชีที่ธนาคารดังกล่าวเพื่อจะเป็นผลงานของตนนั้นก็ปรากฏว่าบัญชีของนายพีระและจำเลยที่ ๑ เป็นบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ทั้งจำเลยที่ ๑ กับนายพีระพักเงินในบัญชีเพียงไม่กี่วัน ยิ่งกว่านั้นนายวิชัยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ สรุปได้ว่า นายวิชัยคุ้นเคยกับจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ เคยเป็นเจ้าภาพแต่งงานให้ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ให้นายพีระแสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดินที่ขายให้แก่เมืองพัทยา นายพีระเคยมาถอนเงินในวันที่จดทะเบียนและเซ็นชื่อในใบถอนเงินหลายใบให้นายวิชัยเก็บไว้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ต้องการถอนเงินจากบัญชีนายพีระก็จะโทรศัพท์มาแจ้งนายวิชัย ตามคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑๖๔ แม้นายวิชัยจะเบิกความปฏิเสธความถูกต้องของคำให้การเพิ่มเติมดังกล่าว แต่เหตุผลที่อ้างว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจโทรศัพท์มาข่มขู่ว่า หากเลื่อนให้การอีกจะออกหมายจับและรายงานผู้บังคับบัญชานั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เพราะแสดงให้เห็นว่านายวิชัยพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้การต่อตำรวจ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าภริยาของจำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีออมทรัพย์ของตน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐บาท จะเห็นว่ากระแสการไหลของเงินจากการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยานั้นเกือบทั้งหมดหมุนเวียนอยู่ในบัญชีของจำเลยที่ ๑และภริยา ส่วนนายพีระคงปรากฏหลักฐานว่า ได้นำเช็คที่มีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจำนวน ๕๐๐,๐๐๐บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๑๒ เท่านั้น ทั้งที่นายพีระขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยามีกำไรสูงถึง ๘๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อพิเคราะห์ถึงสถานภาพของนายพีระดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ยิ่งปรากฏชัดว่า นายพีระเป็นตัวแทนหรือหุ่นเชิดของจำเลยที่ ๑ ในการโอนขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาในครั้งนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าหลังจากเมืองพัทยาจดทะเบียนรับโอนที่ดินให้แก่เมืองพัทยาในครั้งนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าหลังจากเมืองพัทยาจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากนายพีระเพียงไม่กี่วัน ต่อมานายวิทยาได้นำเช็คผู้ถือที่ภริยาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายจำนวนเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารอีกตามเช็คเอกสารหมาย จ. ๑๑๐ โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายวิทยากับจำเลยที่ ๑หรือภริยาจำเลยที่ ๑ มีธุรกรรมใดๆต่อกันที่จะต้องสั่งจ่ายเช็คเป็นจำนวนสูงถึงหลายล้านบาทและจำนวนเงินตามเช็คสูง แต่กลับสั่งจ่ายเป็นเช็คผู้ถือ เมื่อพิจารณาประกอบข้อพิรุธต่างๆในการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ของคณะกรรมการจัดซื้อซึ่งมีนายวิทยาเป็นประธานกรรมการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดซื้อที่ดินแพงกว่าราคาท้องตลาดถึง ๑๐ กว่าเท่าตัวแล้ว จากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้ว่าเช็คที่จำเลยที่ ๑ และภริยาสั่งจ่ายทั้งสองฉบับที่นายวิทยานำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารนั้นเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับจากจำเลยที่ ๑ เพื่อการทุจริตในการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้รับว่าจะให้ตั้งแต่แรก การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๔ ตามคำฟ้องข้อ (ค) ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อที่ดินพิพาทภายหลังจากที่เมืองพัทยาตกลงซื้อที่ดินจากนายพีระแล้ว แต่เปิดปัญหาเรื่องส่วนแบ่งในเงินที่ได้จากการขายที่ดินระหว่างเจ้าของที่ดิน ผู้ซื้อ และนายหน้าโดยคู่กรณีดังกล่าวเกรงว่า เมื่อนายพีระได้รับเงินแล้วจะไม่นำมาแบ่งกัน จึงมีผู้ใหญ่ที่จำเลยที่ ๑ นับถือ ขอร้องให้จำเลยที่ ๑ ช่วยไกล่เกลี่ยให้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ได้พิจารณาคำเบิกความของจำเลยที่ ในกรณีนี้แล้วจำเลยที่ ๑ เบิกความตอบคำซักถามทนายความของตนว่า คู่กรณี ๓ ฝ่าย คือเจ้าของที่ดินมีนางสมใจ ฝ่ายผู้ซื้อมีนายพีระและนายบรรเจิด และฝ่ายนายหน้ามีจำเลยที่ ๒ กำนันเพ็ชรและนางสวนีย์ เมื่อจำเลยที่ ๑ เรียกคู่กรณีทั้งสามฝ่ายมาเจรจากันแล้วได้ความว่านางสมใจเป็นเจ้าของที่ดินที่ขายให้แก่เมืองพัทยาต้องการขายที่ดินนำเงินไปชำระหนี้จำนองที่ค้างชำระอยู่แก่สถาบันการเงิน จึงมอบหมายให้นางสวนีย์เป็นผู้ดำเนินการ นางสวนีย์ได้ขายที่ดินให้แก่นายพีระและนายพีระนำไปขายต่อให้แก่เมืองพัทยา เห็นว่า ข้อที่จำเลยที่ ๑ อ้างนางสวนีย์เป็นนายหน้าในการขายที่ดินและมีสิทธิในส่วนแบ่งค่าที่ดินรายพิพาทจนเกิดปัญหานั้น จำเลยที่ ๑ไม่ได้ถามค้านนางสวนีย์ ในขณะที่นางสวนีย์เบิกความเป็นพยานโจทก์ ทั้งนางสวนีย์เองก็เบิกความเพียงว่า นางสวนีย์มาทราบเรื่องที่ดินพิพาทหลังเกิดเหตุแล้ว และได้ตรวจดูพบว่าตนเป็นผู้ดำเนินการขายที่ดินแทน บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด เท่านั้น โดยไม่ได้เบิกความว่า ตนมีส่วนแบ่งในค่าที่ดินจากการที่นายพีระขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาแต่อย่างใด นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ อ้างต่อมาว่า คู่กรณี ๓ ฝ่าย ไม่ไว้ใจนายพีระจึงตกลงให้นำเงินค่าที่ดินเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ เพื่อจัดการแบ่งให้คู่กรณีดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากทางพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ เพื่อจัดการแบ่งให้แก่คู่กรณีดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากทางพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นมีผู้บารมี มีบุตรชายเป็นรัฐมนตรี หากจำเลยที่ ๑ ได้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคู่กรณีจนได้ข้อยุติตามที่อ้างแล้ว เชื่อว่า คู่กรณีดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ ๑ เบิกความว่ามีความนับถือจำเลยที่ ๑ คงไม่กล้าบิดพลิ้วอย่างแน่นอน เพราะหากบิดพริ้วอาจต้องมีอันเป็นไปอีกประการหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริง คู่กรณีที่มีสิทธิรับส่วนแบ่งย่อมสามารถมารอรับเงินจากนายพีระขณะนายพีระได้รับเช็คค่าที่ดินในวันจดทะเบียนโอนที่ดินได้อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่านายพีระทยอยโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันจดทะเบียนโอนที่ดินในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๖ หากคู่กรณีเกรงว่านายพีระจะบิดพลิ้ว เมื่อนายพีระได้รับค่าเช็คที่ดินก็น่าจะให้นายพีระลงชื่อสลักหลังให้จำเลยที่ ๑ นำไปเรียกเก็บเงินมิใช่ทยอยโอนเข้าบัญชีจำเลยที่ ๑ เช่นนี้ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นายพีระบิดพลิ้วได้ ประการสำคัญจำเลยที่ ๑ อ้างว่า คู่กรณีทั้ง ๓ ฝ่าย มีเพียง ๕คน แต่จำเลยที่ ๑ ไม่มีหลักฐานทางการเงินใดๆมาแสดงว่าได้จัดสรรเงินส่วนแบ่งให้แก่คู่กรณีดังที่อ้างเลย คงปรากฏหลักฐานจากการนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ ได้นำเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่าย ๒ฉบับ รวม๕๘๐,๐๐๐ บาทตามเอกสารหมาย จ.๓๐๓และ จ.๑๑๑ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารและนายพีระได้นำเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๑๓ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารเท่านั้น ทั้งที่เงินค่าที่ดินมีจำนวนมากถึง ๙๘,๕๒๐,๐๐๐บาท ข้อที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าตนไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยจึงไม่มีความจำเป็นต้องบันทึกรายละเอียดในเงินส่วนแบ่งของคู่กรณีไว้เป็นหลักฐานนั้น เห็นว่า เงินจำนวนมากเช่นนั้นหากมีการแบ่งให้แก่คู่กรณีคงจะสั่งจ่ายเช็คซึ่งจะเป็นการสะดวก จำเลยที่ ๑ เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการหลายประเภท มูลค่าธุรกิจจำนวนมาก ย่อมมีประสบการณ์การใช้เช็คซึ่งการสั่งจ่ายเช็คแก่ผู้ใดโดยวิสัยของผู้สั่งจ่ายย่อมต้องระบุไว้ในต้นขั้วเช็คว่า จ่ายค่าอะไร แก่ใคร เพื่อไว้ตรวจสอบในภายหลัง หากจำเลยที่ ๑ ได้แบ่งให้แก่คู่กรณี ๓ ฝ่ายจริงก็น่าจะมีหลักฐานการเบิกถอนเงินตลอดจนหลักฐานการรับเงินเพราะเป็นเงินจำนวนมาก ทั้งที่จำเลยที่ ๑กับพวกเริ่มถูกดำเนินคดีเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๗ หลังจากโอนที่ดินในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖เพียงปีเศษ จึงไม่เป็นการยากที่จะสืบค้นหลักฐานดังกล่าวซึ่งเป็นพยานสำคัญที่จะนำมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า หลังจากจำเลยที่ ๑ แบ่งเงินให้แก่คู่กรณี ๓ ฝ่ายแล้ว ยอดเงินคงเหลือในบัญชีของจำเลยที่ ๑ และภริยาใกล้เคียงกับยอดเงินเดิมนั้น ก็ไม่อาจเป็นเครื่องยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำความผิด เพราะอาจมีการถอนเงินออกจากบัญชีไปใช่หมุนเวียนในการประกอบธุรกิจซึ่งพนักงานสอบสวนยังสืบค้นไม่พบก็เป็นได้ เหตุนี้ข้ออ้าง ดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ จึงขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักแก่การรับฟัง ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ในประการต่อมาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนักธุรกิจ มีทนายความและที่ปรึกษากฎหมายหลายคนหากมีการทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน จำเลยที่ ๑ คงไม่เปิดบัญชีในนามตนเองให้นายพีระโอนเงินค่าที่ดินเข้าบัญชี และนายวิทยาคงไม่กล้าเสี่ยงรับสินบนเป็นเช็คไปเรียกเก็บเงินให้มีหลักฐานผูกมัดนั้น เห็นว่า ตามพยานหลักฐานในคดีปรากฏว่า การทุจิตในการจัดซื้อที่ดินในครั้งนี้มีการกระทำกันเป็นขบวนการได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย จำเลยที่ ๑ และนายวิทยาอาจคิดว่าการให้จำเลยที่ ๑ และนายพีระไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งห่างจากเมืองพัทยา คงกลบกระแสการเคลื่อนไหวของเงินจากการขายที่ดินได้ และที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์อีกว่า การจัดซื้อที่ดินได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการหลายคณะ ผ่านความเห็นชอบจากสภาเมืองพัทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กรมการปกครองและสำนักงบประมาณเป็นขั้นตอนสุดท้าย นายวิทยาจึงไม่มีอำนาจอนุมัติการจัดซื้อโดยลำพังนั้น เห็นว่า การจัดซื้อจัดจ้างโดยคณะกรรมการและต้องผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานบังคับบัญชานั้น มิใช่สิ่งยืนยันว่าจะไม่เกิดการทุจริตแต่อย่างใด เพราะการทุจริตคอรัปชั่นในการจัดซื้อจัดจ้างในระดับชาติที่ปรากฏอยู่เสมอๆก็ล้วนแต่เป็นการจัดซื้อจัดจ้างในรูปของคณะกรรมการและต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานบังคับบัญชาทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจัดซื้อที่ดินในครั้งเกิดเหตุนี้ คณะกรรมการ ๓ ชุด ตามที่อ้างก็ล้วนแต่งตั้งจากข้าราชการของเมืองพัทยาเกือบทั้งหมด ยกเว้นจำเลยที่ ๕ ที่เป็นบุคคลจากหน่วยงานภายนอก ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตามที่ปรากฏก็ล้วนส่อพิรุธ ส่วนหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจอนุมัติก็ล้วนแต่ได้รับข้อมูลเท็จเกี่ยวกับราคาที่ดินที่จำเลยที่ ๕ จัดทำเสนอเมืองพัทยา จึงไม่อาจอ้างการพิจารณาของคณะกรรมการและหน่วยงานที่อนุมัติการจัดซื้อมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดในเมื่อหลักฐานโจทก์ปรากฏชัดว่านายวิทยากับจำเลยที่ ๔ และพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดในการจัดซื้อที่ดิน ครั้งเกิดเหตุนี้ ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องข้ออื่นมาฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามคำฟ้อง ข้อ (ข) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับคำฟ้องข้อ (ข) เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ รวม ๒กระทง คือคำฟ้องข้อ (ข) โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๔และนายวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ ส่วนคำฟ้องข้อ (ค)โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยความผิดทั้งสองข้อหาของจำเลยที่ ๑ ไปพร้อมกันแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า นายพีระเป็นเพียงเครื่องมือในการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑และสรุปในตอนท้ายว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดทั้งสองกระทง การจะฟังว่าจำเลยที่ ๑กระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านายพีระเป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ในการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาย่อมเป็นประเด็นสำคัญของความผิดทั้งสองฐานและเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกัน จึงสามารถนำมาวินิจฉัยความผิดทั้งสองข้อหาของจำเลยที่ ๑ไปพร้อมกันได้ กล่าวคือ ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามคำฟ้องข้อ (ข) นั้น โจทก์บรรยายการกระทำที่เป็นการสนับสนุนรวม ๓ประการ ประการแรก คือ ร่วมกันดำเนินการให้นายพีระไปติดต่อซื้อที่ดินพิพาทจาก บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงจำต้องพิจารณาว่านายพีระเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์นำสืบหรือไม่ ส่วนข้อหาให้สินบนแก่นายวิทยาตามคำฟ้องข้อ (ค) นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านายพีระเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ก็เป็นข้อที่สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยาหรือไม่เช่นกันเพราะถ้าฟังว่านายพีระมิใช่ตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ย่อมไม่มีเหตุที่จำเลยที่ ๑ ต้องให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยา คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในกรณีดังกล่าวจึงชอบแล้ว
อนึ่ง ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓และที่ ๔ อุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ทางพิจารณาได้ความที่ดินอยู่นอกเขตป่าอันเป็นการแตกต่างจากฟ้อง ศาลต้องพิจารณายกฟ้อง และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยว่า ที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนการพิจารณานั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อ (ก) บรรยายว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และนายวิทยารู้อยู่แล้วว่าที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และรู้อยู่แล้วว่านายพีระซื้อมาในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แต่ได้ร่วมกันให้เมืองพัทยาซื้อที่ดินของนายพีระในราคาไร่ละ๖๖๘,๐๐๐บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงมากอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต จะเห็นได้ว่าคำฟ้องอ้างเหตุ ๒ ประการ คือ ที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติกับที่ดินมีราคาต่ำเพียงไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แต่เมืองพัทยารับซื้อในราคาสูงเกินจริงมาก เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินนายพีระมีราคาท้องตลาดไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แต่จำเลยที่ ๔และที่ ๕ ร่วมกับนายวิทยาซึ่งมีหน้าที่จัดซื้อได้ดำเนินการจัดซื้อในราคาไร่ละ๖๖๘,๐๐๐บาท โดยทุจริตเช่นนี้ ย่อมฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวกับนายวิทยาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๗ แล้ว ดังนั้นปัญหาว่า ที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓และที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ ๑ แลที่ ๔ อุทธรณ์ว่าได้ความจากนายไพรัช สุทธิธำรงสวัสดิ์ นายกเมืองพัทยา พยานจำเลยและนายชวลิต เจริญยรรยง นายช่างสำรวจของเมืองพัทยาพยานโจทก์ว่า ปัจจุบันเมืองพัทยาได้ใช้ที่ดินที่จัดซื้อจากนายพีระเป็นที่ทิ้งขยะแล้ว และนายบุญเลิศ โรจนาลักษณ์ พยานโจทก์ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยาหลังเกิดเหตุได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า สภาเมืองพัทยามีมติว่าเมืองพัทยาไม่ได้รับความเสียหาย ตามคำให้การเอกสารหมาย จ.๒๐๖ จึงต้องฟังว่าการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้มิได้เกิดความเสียหายแก่รัฐนั้น เห็นว่า แม้ปัจจุบันเมืองพัทยาได้ใช้ที่ดินที่จัดซื้อจากนายพีระเป็นที่ทิ้งขยะแล้ว แต่การที่เมืองพัทยาต้องจัดซื้อที่ดินในราคาแพงกว่าท้องตลาดถึง ๑๐ กว่าเท่าตัว จะไม่เรียกว่าเสียหายได้อย่างไร ส่วนที่นายบุญเลิศ ให้การชั้นสอบสวนว่า สภาเมืองพัทยามีมติว่าเมืองพัทยาไม่ได้รับความเสียหายนั้นก็เป็นที่เห็นได้ว่า ภายหลังเกิดเหตุมีความพยายามดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำการทุจริตในการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ทุกวิถีทาง ดังจะเห็นได้ว่าพลตำรวจโทเสรีต้องมีหนังสือด่วนที่สุดถึงปลัดเมืองพัทยาให้ร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดในกรณีนี้ถึง ๓ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๑ถึง จ.๓ เมืองพัทยาจึงได้มอบอำนาจให้นิติกรมาร้องทุกข์ โดยในขณะนั้นมีนายบุญเลิศเป็นปลัดเมืองพัทยา ซึ่งก็ได้ความจากคำของนายบุญเลิศว่า หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าหากนายบุญเลิศยังไม่ไปร้องทุกข์ เจ้าพนักงานตำรวจจะดำเนินคดีแก่นายบุญเลิศในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนนายบุญเลิศตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑และที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประการสุดท้ายที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ เคยมีข้อพิพาทเรื่องที่ดินและเคยถูกพลตำรวจโทเสรีฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท แต่ศาลพิพากษายกฟ้องทั้งพลตำรวจโทเสรีเข้าใจว่าจำเลยที่ ๑ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พลตำรวจโทเสรีย้ายจากจังหวัดชลบุรีนั้น เห็นว่า การทุจริตจัดซื้อที่ดินในครั้งนี้มีหลายขั้นตอนข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ปรากฏจากเอกสารการจัดซื้อ ส่วนพยานบุคคลบางปากที่ให้การในชั้นสอบสวน แต่กลับคำให้การในชั้นพิจารณานั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่อ้างในการกลับคำแล้วก็ขัดต่อเหตุผล คดีนี้ศาลฟังว่าลงโทษจำเลยก็โดยอาศัยพยานเอกสารและพยานบุคคลประกอบกัน โดยลักษณะแห่งคดี พนักงานสอบสวนย่อมยากที่จะกลั่นแกล้งได้ อีกทั้งจำเลยที่ ๑ เองก็เป็นผู้มีสถานภาพทางสังคมสูง พลตำรวจโทเสรีหรือพนักงานสอบสวนคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะกลั่นแกล้งปรักปรำฝ่ายจำเลย ลำพังสาเหตุโกรธเคืองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับพลตำรวจโทเสรีจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟัง หักล้างพยานโจทก์ได้ สรุปแล้วอุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ กับมาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ และจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๑๔๔ อีกกระทงหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ ๓ มีความผิดตามมาตรา ๒๖๗ ประกอบมาตรา ๘๔ อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ ๓ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖ ซึ่งเป็นลงโทษที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๓ปี ๔ เดือน จำเลยที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ให้จำคุก ๓ ปี การกระทำของจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ กับความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ส่วนกำหนดลงโทษของจำเลยที่ ๑ และนอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
................................................................
นายศรีอัมพร สาลิคุปต์
นายจักร อุตตโม
นายวันชัย ศศิโรจน์
นายวิชา มหาคุณ
นายวิเชียร มงคล
นายเกษม เวชศิลป์
*ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ( ๒มีนาคม ๒๕๔๗ ) สำนักงานศาลยุติธรรม.
ประการที่ ๒ เกี่ยวกับเงื่อนไขในเรื่องระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อตามที่ระบุในประกาศฉบับที่ ๒และที่๓ ซึ่งได้กำหนดระยะห่างของที่ดินจากเมืองพัทยาไม่เกิน๒๕ กิโลเมตร ผิดไปจากมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดระยะห่างของที่ดินจากเมืองพัทยาไม่เกิน๑๕ กิโลเมตร โดยไม่ปรากฏว่าก่อนหรือระหว่างออกประกาศนายวิทยาได้เสนอให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด การที่นายวิทยาจงใจออกประกาศฝ่าฝืนคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นความผิดวินัยร้ายแรงแสดงว่าจะต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอนเพราะระยะห่างของที่ดินเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเนื่องจากมีผลต่อต้นทุนในการจัดเก็บขยะ เช่น ค่าขนส่ง เป็นต้น ดังที่กรมโยธาธิการได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากจะขยายระยะห่างจากไม่เกิน ๑๕ กิโลเมตร เป็นไม่เกิน๒๕กิโลเมตร ก็ควรมีที่พักขยะเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งตามเอกสารหมาย จ.๑๗๕ สอดคล้องกับคำของนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ว่า หากเมืองพัทยาจะจัดซื้อที่ดินมีระยะแตกต่างจากมติคณะรัฐมนตรีต้องให้เจ้าของเรื่อง คือ กระทรวงมหาดไทยหรือคณะกรรมการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก(สพอ.)เป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอแก้ไขโดยขณะนายสุรชัยให้การต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม๒๕๔๗ อันเป็นเวลาภายหลังเมืองพัทยาซื้อที่ดินจากนายพีระแล้ว คณะรัฐมนตรีไม่เคยมีมติให้แก้ไขเกี่ยวกับระยะห่างของที่ดิน หลังจากนายวิทยาออกประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๗ ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีแล้วก็ไม่ปรากฏว่านายวิทยาได้เสนอจังหวัดชลบุรีเพื่อเสนอหน่วยงานเจ้าของเรื่อง เสนอคณะรัฐมนตรีขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่นายวิทยากลับมีหนังสือลงวันที่๒๒กุมภาพันธ์๒๕๓๖ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ขออนุมัติซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษพร้อมกับขอตั้งคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษและคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ แม้ตามหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าขออนุมัติจัดซื้อที่ดินของนายพีระ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้เช่นนั้นเพราะในหนังสือได้อ้างถึงมติของสภาตำบลเขาไม้แก้วยินยอมให้เมืองพัทยายินยอมให้เมืองพัทยาจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะในตำบลเขาไม้แก้วได้ แสดงให้เห็นว่านายวิทยามิได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อเลยทั้งที่นายวิทยาทราบดีว่าที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ห่างจากเมืองพัทยา ๑๘.๕ กิโลเมตร เมื่อจังหวัดชลบุรีได้รับหนังสือจากนายวิทยาแล้ว นายธีระ สุนทรกมล ผู้ตรวจราชการส่วนท้องถิ่นได้ทำบันทึกถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีว่าที่ดินที่เมืองพัทยาขออนุมัติจัดซื้อนั้นผิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับระยะห่างจากเมืองพัทยาและเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีดำเนินการหารือกรมการปกครอง ต่อมากรมการปกครองได้มีบันทึกลงวันที่๑๗มีนาคม๒๕๓๖ ถึงอธิบดีกรมโยธาธิการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคช่วยพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับการเปลี่ยนระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อ กรมโยธาธิการโดยนายสุจินต์ ชาญณรงค์ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมโยธาธิการมีบันทึกข้อความลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๖ ถึงอธิบดีกรมการปกครองว่า ที่ดินที่เมืองพัทยาจะจัดซื้อมีความเหมาะสมใช้เป็นสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย จึงเห็นควรให้เปลี่ยนระยะห่างของที่ดินได้ตามเอกสารหมาย จ.๑๗๕ ต่อมาจังหวัดชลบุรีได้มีหนังสือแจ้งเมืองพัทยาว่ากรมการปกครองได้ให้ความเห็นชอบให้เปลี่ยนระยะห่างของที่ดินเป็นห่างจากเมืองพัทยาไม่เกิน ๒๕ กิโลเมตร ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ากรมการปกครองได้ขอให้คณะรัฐมนตรีทบทวนมติในเรื่องดังกล่าว นายสุจินต์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการผู้ลงนามในบันทึกที่มีถึงอธิบดีกรมการปกครองตามเอกสารหมาย จ.๑๗๕พยานโจทก์เบิกความว่า ตามบันทึกดังกล่าวกรมโยธาธิการเพียงแต่แจ้งว่าในทางเทคนิคแล้วการเพิ่มระห่างของที่ดินสามารถทำได้ แต่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้น แต่ตอบทนายจำเลยที่ ๒และที่ ๓ ถามค้านว่า กรมโยธาธิการเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิค จึงไม่มีอำนาจอนุมติให้เปลี่ยนแปลงระยะห่างของที่ดินที่จะจัดซื้อ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ต่อมาเมืองพัทยาก็ได้ซื้อที่ดินจากนายพีระซึ่งมีระยะห่างจากเมืองพัทยา ๑๘.๕ กิโลเมตร ผิดไปจากมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดระยะห่างจากเมืองพัทยาไม่เกิน๑๕กิโลเมตร โดยไม่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะของที่ดินแต่อย่างใด ดังนั้นการที่นายวิทยาออกประกาศเมืองพัทยา เรื่องจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาในครั้งที่ ๒ และครั้งที่๓ ตามเอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๗ โดยเจตนาฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีจึงแปลเจตนาเป็นอื่นไม่ได้นอกจากกระทำไปเพื่อให้สอดรับกับที่ดินของนายพีระซึ่งมีระยะห่างจากเมืองพัทยา๑๘.๕ กิโลเมตร
ประการที่ ๓ เกี่ยวกับการส่งประกาศเรื่องจัดซื้อที่ดินตามเอกสารหมายเลข จ.๑๕ ถึง จ.๑๗ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยประชาสัมพันธ์ให้นั้น ได้ความจากพยานโจทก์ปากนางเนตรชนก ฮะสุน เจ้าหน้าที่ธุรการสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีซึ่งมีหน้าที่รับส่งหนังสือติดต่อส่วนราชการและบุคคลภายนอกว่า นางเนตรชนกเคยได้รับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ ก่อนครบกำหนดตามประกาศเพียง ๒วัน ส่วนประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๗ได้รับก่อนครบประกาศเพียง ๗วัน สำหรับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานการรับ หากได้รับเจ้าหน้าที่ธุรการจะลงไว้ในทะเบียนรับหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๘๙ นางจงกล มายรรยงค์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอบางละมุงพยานโจทก์เบิกความว่า พยานได้ตรวจสอบทะเบียนรับหนังสือพบว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ได้รับประกาศของเมืองพัทยาเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินเพียง ๒ครั้ง โดยได้รับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม๒๕๓๕ ส่วนประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๗ ได้รับเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ นางเรณี ชำนาญชานันท์ เจ้าพนักงานปกครองที่ ๓ ประจำที่ว่าการอำเภอบางละมุงพยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ลงหนังสือเบิกความว่า พยานตรวจสอบสารบบแล้วพบว่ามีการส่งประกาศเมืองพัทยา เรื่องจัดซื้อที่ดินมาให้อำเภอบางละมุงเพียงครั้งเดียวเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๕คือประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖ ตามหนังสือรับเอกสารหมายจ.๘๖ พยานได้รับแล้วก็ปิดประกาศทันทีเนื่องจากใกล้ครบกำหนดตามประกาศ พยานทั้งสามปากดังกล่าวไม่รู้จักฝ่ายจำเลยมาก่อน เบิกความไปตามสัตย์ อีกทั้งยังสอดคล้องกับคำของนายสุรพล คนซื่อ พนักงานขับรถและส่งเอกสารของเมืองพัทยาพยานโจทก์ซึ่งแม้จะเบิกความในตอนแรกว่าได้จัดส่งประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ถึง จ.๑๖ ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อโจทก์ให้พยานอ่านคำให้การชั้นสอบสวนของตนตามเอกสารหมาย จ.๑๔๗ พยานก็รับว่าประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ได้ส่งไปที่งานประชาสัมพันธ์ของเมืองพัทยาเพียงแห่งเดียว ตรงกับที่พยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวระบุว่าไม่เคยได้รับประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ แม้นายสุรพลจะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ถามค้านว่า พยานให้การตามที่เจ้าพนักงานตำรวจบอก แต่ก็เบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า เจ้าพนักงานตำรวจถามพยานก็ตอบคำถามไปและยังตอบทนายจำเลยที่๑ขออนุญาตศาลถามอีกว่าตำรวจเรียกพยานไปพูดคุย แล้วพิมพ์คำให้การให้พยานลงชื่อซึ่งไม่ปรากฏว่าพยานให้การโดยสมัครใจหรือเกิดจากการถูกขู่เข็ญ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าเมืองพัทยาไม่ได้มีการจัดส่งประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยปิดประกาศเพื่อประชาสัมพันธ์ ส่วนประกาศตามเอกสารหมาย จ.๑๖และ จ.๑๗ ก็ส่งถึงหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อใกล้ครบกำหนดตามประกาศ ข้อเท็จจริงยังได้ความจากพยานโจทก์ปากนายบุญเลิศ ประสบโชค เจ้าหน้าที่การเงินของบริษัทที่ประมูลคลื่นวิทยุจากสถานีวิทยุทหารเรือ (ส.ทร.๕) ว่า นายบุญเลิศไม่เคยได้ยินประกาศทางวิทยุของสถานีดังกล่าวเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยา แม้นายบุญเลิศจะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านว่ากรณีทางราชการขอความร่วมมือให้ประกาศเรื่องใดจะส่งเรื่องให้สถานีโดยตรงโดยไม่ผ่านนายบุญเลิศก็ตาม แต่การที่นายบุญเลิศทำงานประจำอยู่ที่สถานีวิทยุดังกล่าว หากมีประกาศก็น่าจะได้ทราบและในทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏหลักฐานการส่งประกาศของเมืองพัทยาไปให้สถานีวิทยุช่วยประชาสัมพันธ์ นายบุญเลิศไม่รู้จักฝ่ายจำเลยมาก่อนเช่นกัน ย่อมไม่มีมูลเหตุจูงใจให้เบิกความปรักปรำฝ่ายจำเลย จากพยานโจทก์ที่นำสืบมาดังกล่าวข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมืองพัทยาไม่ได้จัดส่งประกาศให้สถานีวิทยุทหารเรือ (ส.ทร.๕) ช่วยกันประชาสัมพันธ์เช่นกัน การที่นายวิทยา ไม่จัดส่งประกาศไปให้หน่วยรายการที่เกี่ยวข้องหรือจัดส่งให้ในระยะกระชั้นชิดใกล้ครบกำหนดตามประกาศและไม่ส่งไปให้สถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งที่ทำได้ ส่อให้เห็นว่ามีความประสงค์ปกปิดไม่ให้ทราบกันในวงกว้างเพราะเกรงว่าจะมีผู้เสนอราคาแข่งจำนวนมากทำให้การเอื้อประโยชน์แก่นายพีระไม่อาจทำได้หรือทำได้ยากขึ้น
ประการสุดท้าย เกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบราคาที่ดินของนายพีระและที่ดินใกล้เคียง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ ๒พฤศจิกายน๒๕๓๕ นายพีระยื่นใบเสนอราคาขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่ ๑๒๑๘ ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์๒๕๓๖ นายวิทยามีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ขอทราบราคาซื้อขายที่ดินตำบลเขาไม้แก้วครั้งล่าสุดของปี ๒๕๓๕ จำนวน ๓ราย เพื่อใช้ประกอบการจัดซื้อที่ดินเป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาตามเอกสารหมาย จ.๒๕ ทั้งๆที่นายวิทยาทราบรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่นายพีระนำมาเสนอขายแล้ว การสอบถามราคาซื้อขายตามท้องตลาดของที่ดินก็ควรจะระบุตำแหน่งของที่ดินที่จะจัดซื้อให้ชัดเจนเพื่อจะได้นำราคาซื้อขายของที่ดินแปลงที่ใกล้เคียงกับที่ดินที่นายพีระเสนอขายมากที่สุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นเมืองพัทยายังละเลยที่จะขอราคาประเมินที่ดินที่นายพีระเสนอขายให้แก่เมืองพัทยามาพิจารณาเปรียบเทียบกับราคาที่นายพีระเสนอขายหรือเพื่อนำเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณจัดซื้ออีกด้วย จนกระทั่งกรมการปกครองขอให้เมืองพัทยาชี้แจงรายละเอียดของที่ดินที่นายพีระเสนอขายตลอดจนขอทราบราคากลาง นายวิทยาจึงมีหนังสือลงวันที่ ๒๐ เมษายน๒๕๓๖ ขอทราบรายละเอียดดังกล่าวจากเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ตามเอกสารหมาย จ.๒๗ ความข้อนี้จึงเป็นพิรุธ เมื่อจำเลยที่ ๕ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ได้รับหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๒๑ แล้ว ได้มีหนังสือตอบกลับโดยอ้างอิงการซื้อขายรายนายอำนวย จันทร์เทียนกับนายสมใจ จันทร์เทียน เป็นหนึ่งในสามรายการตามเอกสารหมาย จ.๒๒ ซึ่งการซื้อขายระหว่างนายอำนวยกับนายสมใจเป็นการซื้อขายกันหลอกๆโดยระบุราคาซื้อขายสูงกว่าความเป็นจริงและมิได้มีการชำระราคาดังได้ วินิจฉัยแล้ว ส่วนหนังสือของเมืองพัทยาที่ขอทราบราคาประเมินของที่ดินที่นายพีระเสนอขายนั้น จำเลยที่ ๕มีหนังสือตอบกลับว่า ได้ตรวจสอบแล้ว ไม่ได้สามารถระบุตำแหน่งที่ดินที่แน่ชัดลงในแผนที่ประเมินราคาได้พร้อมกับส่งบัญชีราคาประเมินที่ดินตำบลเขาไม้แก้วให้เมืองพัทยา เห็นว่า ที่ดินที่นายพีระเสนอขายให้แก่เมืองพัทยามีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) ซึ่งมีระวางที่เป็นภาพถ่ายทางอากาศย่อมสามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพีระเพิ่งจะจดทะเบียนโอนมาจากบริษัท เค.ที.ไอ.ที.คอปโปเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ ๒๐ตุลาคม๒๕๓๕ การจดทะเบียนดังกล่าวเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนย่อมต้องใช้ราคาประเมินในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม จึงย่อมปรากฏราคาประเมินในสารบบที่ดินแปลงนี้อยู่แล้ว อีกทั้งขณะนายพีระ โอนที่ดินให้แก่เมืองพัทยา เจ้าพนักงานผู้จดทะเบียนก็สามารถใช้ราคาประเมินในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๕ หลีกเลี่ยงที่จะแจ้งราคาประเมินที่ดินของนายพีระด้วยวัตถุประสงค์จะปกปิดราคาประเมินซึ่งมีราคาเพียงประมาณ ๑๔,๐๐๐,๐๐๐บาท เนื่องจากเกรงว่าหากเมืองพัทยาเสนอราคาประเมินของที่ดินนายพีระต่อสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติวงเงินงบประมาณในการจัดซื้อ จะทำให้ได้รับงบประมาณจัดซื้อต่ำ และเกรงว่าจะทำให้สำนักงบประมาณทราบราคาท้องตลาดของที่ดินนายพีระเพราะราคาประเมินเพิ่งจะมีการปรับให้ใกล้เคียงกับราคาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดเมื่อวันที่ ๑มกราคม๒๕๓๕ ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์๒๕๓๖ นายวิทยามีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ขอทราบราคาที่ดินบริเวณตำบลเขาไม้แก้ว ทีมีการซื้อขายหลังสุดในปี ๒๕๓๕ ตามเอกสารหมาย จ.๒๕ จำเลยที่ ๕มีหนังสือตอบกลับตามเอกสารหมาย จ.๒๖ โดยอ้างการซื้อขายราย นายอำนวย จันทร์เทียนกับนายสมใจ จันทร์เทียน รายนายเยิ้ม อยู่สบายกับอำพล จันทร์เทียนและรายนายเพ็ชร จันทร์เทียนกับนางหอม นฤทัย ซึ่งการซื้อขายใน ๒รายแรกนั้นเป็นการซื้อขายหลอกๆคู่สัญญามิได้มีเจตนาซื้อขายกันและไม่ได้มีการชำระเงินโดยขณะจดทะเบียนซื้อขายครั้งแรกมีการแจ้งราคาจดทะเบียนสูงกว่าความเป็นจริง และภายหลังเมื่อเมืองพัทยาจัดซื้อที่ดินจากนายพีระแล้ว คู่สัญญาเหล่านั้นก็โอนขายที่ดินคืนแก่กัน โดยแจ้งราคาจดทะเบียนต่ำกว่าการซื้อขายครั้งแรกอย่างมาก ดังได้วินิจฉัยแล้ว สำหรับรายนายเพ็ชรกับนางหอมก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันซึ่งก็คงจะเป็นการจดทะเบียนซื้อขายกันหลอกๆเช่นกัน จำเลยที่ ๕ ในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจดทะเบียนมีโอกาสสัมผัสกับราษฎรที่มาจดทะเบียนย่อมจะต้องทราบราคาซื้อขายตามท้องตลาดของที่ดินที่อยู่ในความรับผิดชอบในการจดทะเบียน สามารถสังเกตเห็นความผิดปรกติได้ว่าการที่ราษฎรแจ้งราคาจดทะเบียนซื้อขายสูงกว่าราคาประเมินเป็นอย่างมากย่อมจะต้องมีสิ่งผิดปรกติแอบแฝงแต่จำเลยที่ ๕กลับแจ้งราคาการซื้อขายทั้งสามรายดังกล่าวแก่เมืองพัทยา แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๕ ก็มีส่วนร่วมอยู่ในขบวนการทุจริตคอรัปชั่นในการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ด้วย ต่อมานายวิทยามีหนังสือลงวันที่ ๒๖มีนาคม๒๕๓๖ ตามเอกสารหมาย จ.๓๗ ขออนุมัติผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีซื้อที่ดินจากนายพีระโดยอ้างหนังสือของจำเลยที่ ๕ ที่แจ้งราคาซื้อขายของที่ดิน ๓แปลง ซึ่งเป็นการซื้อขายกันหลอกๆตามเอกสารหมาย จ.๒๖ และผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีได้ใช้หลักฐานการซื้อขายของที่ดินทั้ง ๓แปลงดังกล่าวประกอบการขออนุมัติวงเงินจัดซื้อจากสำนักงบประมาณดังที่นายสุพจน์ สำราญจิตต์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ ๖ สำนักงบประมาณ พยานโจทก์เบิกความว่า สำนักงบประมาณอนุมัติวงเงินงบประมาณ สำหรับการจัดซื้อที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาจำนวน ๙๓,๕๒๐,๐๐๐บาท โดยพิจารณาจากหนังสือของสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ซึ่งออกโดยจำเลยที่ ๕ ตามเอกสารหมาย จ.๒๖ กับบันทึกของกองช่างเมืองพัทยาและบันทึกของสำนักงานจังหวัดฝ่ายท้องถิ่น ซึ่งบันทึกทั้งสองฉบับหลังนี้ล้วนแต่นำข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายที่ได้รับจากจำเลยที่ ๕ มาจัดทำบันทึก พฤติการณ์ดังกล่าวส่อให้เห็นว่าการจัดซื้อที่ดินรายพิพาทนี้มีการทุจริตกระทำเป็นขบวนการโดยได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อมามีว่า เมืองพัทยาซื้อที่ดินจากนายพีระสูงกว่าราคาท้องตลาด หรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์นำสืบว่านายพีระซื้อที่ดิน ๑๕๐ ไร่ จาก บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด ในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท ตามที่นายพีระแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินในขณะจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากบริษัทดังกล่าว โดยโจทก์มีพยานหลายปากซึ่งมีที่ดินในขณะจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากบริษัทดังกล่าว โดยมีพยานหลายปากซึ่งมีที่ดินในบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยาเบิกความสนับสนุน เช่นนายสมนึก จันทร์มาก เบิกความว่า พยานทำไร่มันสำปะหลังอยู่ที่ตำบลเขาไม้แก้วบนเนื้อที่ประมาณ ๓๐ไร่ มาประมาณ ๒๐ ปีเศษ โดยเป็นที่ดินที่มีหลักฐานสทก.๒ จำนวน๑๕ไร่ ส่วนอีก ๑๕ไร่ เป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ พยานได้ขายที่ดินของตนให้เสี่ยอ๋อย ๓ไร่ ราคารวม ๕๐,๐๐๐บาท ต่อมาเสี่ยอ๋อยได้ขายให้เมืองพัทยา ที่ดินทิ้งขยะของเมืองพัทยามีเนื้อที่ ๑๔๐ ไร่ ตั้งอยู่ติดกับที่ดินของพยานโดยมีที่ดินที่เสี่ยอ๋อยซื้อจากพยานรวมอยู่ด้วย ราคาที่ดินบริเวณรอบๆที่ดินของพยานเมื่อปี ๒๕๓๔ ซื้อขายกันไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท โดยโจทก์มีนายอดิศร ผลลูกอินทร์ หรือเสี่ยอ๋อยตามที่นายสมนึกอ้างถึงเบิกความสนับสนุนว่าเมื่อปี ๒๕๓๐ พยานกับพวกร่วมกันซื้อที่ดินบริเวณตำบลเขาไม้แก้วซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็น สทก. เพื่อปลูกทุเรียนจำนวน ๓๐ ไร่ ในราคาไร่ละ ๒๐,๐๐๐บาท จากชาวบ้านหลายคนโดยมีนายสมนึกรวมอยู่ด้วย ต่อมาปี ๒๕๓๕ มีนายหน้ามาติดต่อขอซื้อที่ดินดังกล่าว พยานจึงได้ขายไปจำนวน ๗๐ ไร่ เป็นเงิน๓,๕๐๐,๐๐๐บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้เรียกพยานไปสอบปากคำตามคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑๔๖ พยานปากนี้ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า ที่ดินที่พยานขายไปดังกล่าวบางส่วนเป็นที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยา บางส่วนอยู่นอกเขต เห็นว่า พยานโจทก์ปากนายสมนึกไม่รู้จักฝ่ายจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำ เชื่อว่า พยานเบิกความไปตามสัตย์จริง ส่วนพยานปากนายอดิศรหรือเสี่ยอ๋อยมีตำแหน่งเป็นสมาชิกเมืองพัทยาและประกอบกิจการโรงน้ำแข็ง พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอิทธิพลหรือจูงใจให้พยานปากนี้ปรักปรำฝ่ายจำเลยได้ เชื่อว่า พยานให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสัตย์จริงเช่นกัน ส่วนที่นายอดิศรเบิกความตอบทนายฝ่ายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่เคยออกไปดูที่ดินที่พยานซื้อมาจากชาวบ้าน เพียงแต่ซื้อตามที่นายหน้ามาบอกขายและที่เบิกความตอบโจทก์ซักถามว่า ที่ดินที่พยานซื้อมาปัจจุบันมีบางส่วนเป็นที่ทิ้งขยะของเมืองพัทยาเป็นความเข้าใจของพยานเองนั้น เป็นเรื่องผิดปรกติวิสัยของพ่อค้าและนักการเมืองท้องถิ่นที่ซื้อขายที่ดินโดยไม่เคยไปดูที่ดินและไม่ทราบตำแหน่งของที่ดิน เชื่อว่าที่เบิกความดังกล่าวน่าจะมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือฝ่ายจำเลยมากกว่า ส่วนที่นายอดิศรเบิกความว่า ที่ดินบริเวณที่ตนซื้อนั้นหากมีเอกสารสิทธิจะซื้อขายกันในราคาไร่ละ ๗๐๐,๐๐๐ถึง๘๐๐,๐๐๐บาทนั้นก็เป็นการเบิกความลอยๆจึงไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายชั้ว โพธิน เบิกความว่าพยานรับจ้างเฝ้าไร่ให้ด็อกเตอร์ประภาเนื้อที่ ๑,๗๐๐ไร่ ห่างจากที่ดินที่เมืองพัทยาซื้อจากนายพีระไม่ถึง๑ กิโลเมตร พยานพักอยู่ในที่ดินของด็อกเตอร์ประภา หากเดินทางจากที่ดินที่รับจ้างเฝ้าไปออกสู่ถนนใหญ่จะต้องผ่านที่ดินที่เมืองพัทยาใช้ทิ้งขยะ เท่าที่พยานได้ยินมาที่ดินบริเวณที่เมืองพัทยาใช้ทิ้งขยะชาวบ้านขายกันในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท ยิ่งกว่านั้น พยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๔ ถามค้านยืนยันว่า ที่พยานให้การต่อเจ้าพนักงานสอบสวนว่าที่ดินบริเวณที่เมืองพัทยาใช้ทิ้งขยะมีราคาไร่ละประมาณ ๕๐,๐๐๐บาทนั้น พยานให้การตามที่ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกัน อันเป็นการตอกย้ำว่าพยานเบิกความตามที่ได้รับรู้มาเช่นนั้นจริง นางเสานีย์ ละม้าย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความว่า เมื่อปี ๒๕๓๓ พยานเป็นผู้ติดต่อขายที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓) ให้บริษัทเค.ไอ.ทีไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด เนื้อที่ ๑,๘๐๐ไร่ ราคาไร่ละ๑๐,๐๐๐บาท หลังจากนั้นบริษัทฯได้เปลี่ยนเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่๑๑๑๐ ต่อมาปี ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๒มาติดต่อกับพยานเพื่อขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนจำนวน ๑๕๐ ไร่ พยานแจ้งให้บริษัทฯทราบ และบริษัทฯได้มอบอำนาจให้พยานแบ่งที่ดินออกเป็น ๔แปลง จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อจากบริษัทฯ ๑แปลงเนื้อที่ ๑๕๐ ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่๑๒๑๘ เอกสารหมาย จ.๕๗ พยานทราบภายหลังว่าจำเลยที่ ๒ ซื้อในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท สอดคล้องกับที่พยานปากนี้ให้การต่อเจ้าพนักงานสอบสวน ตามคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.๒๑๔ ว่า บริษัทฯได้ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่๑๒๑๘ เนื้อที่ ๑๕๐ ไร่ ในราคาไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท เพียงแต่ในชั้นสอบสวนพยานปากนี้ให้การว่า บริษัทฯ ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายพีระ ส่วนในชั้นพิจารณาพยานเบิกความว่าบริษัทฯขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ สาระสำคัญที่เกี่ยวกับราคาที่ดินที่พยานเบิกความตอบโจทก์ซักถามยังตรงกับที่พยานให้การไว้ในชั้นสอบสวนจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริง พยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๒และที่ ๓ถามค้านอีกว่า ในปี๒๕๓๓ ที่ดินของบริษัทฯส่วนที่ติดถนนสาย๓๓๑ ราคาไร่ละ ๑,๐๐๐,๐๐๐บาท แต่ที่ดิน๑๕๐ ไร่ ที่จำเลยที่๒ ซื้อจากบริษัทฯนั้นอยู่ด้านในห่างจากถนนใหญ่เกือบ ๑กิโลเมตร ส่วนที่พยานปากนี้เบิกความในนัดต่อมาตอบทนายจำเลยที่ ๑ถามค้านว่า ขณะเกิดเหตุที่ดินที่เมืองพัทยาซื้อเป็นที่ทิ้งขยะมีราคาท้องตลาดไม่ต่ำกว่าไร่ละ๘๐๐,๐๐๐บาท นั้นเป็นการเบิกความลอยๆและขัดต่อเหตุผลเพราะพยานปากนี้เบิกความว่า บริษัทฯซื้อมาเมื่อปี๒๕๓๓ แบบปลอดจำนองในราคาเพียงไร่ละ๑๐,๐๐๐บาท อีกทั้งพยานยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๔ ถามค้านอีกว่า ที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุมักมีข้อโต้แย้งหรือถกเถียงกันในเรื่องแนวเขตป่าซึ่งในการทำนิติกรรมเจ้าพนักงานที่ดินจะให้คู่สัญญาทำบันทึกยกเว้นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ จึงไม่น่าเชื่อว่า เพียงระยะเวลา ๒ ปี ราคาที่ดินดังกล่าวจะเพิ่มจากไร่ละ๑๐,๐๐๐บาท เป็นไร่ละ๘๐,๐๐๐ บาท ตามที่อ้างทั้งที่ยังมีปัญหาเรื่องว่าที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าหรือไม่ ที่ฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ว่า พยานปากนี้เบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๓ ถามค้านว่า พยานมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.) เลขที่ ๑๒๑๓,๑๒๑๔และ๑๒๑๕ ตามเอกสารหมาย ล.๑๘ถึงล.๒๐ ปัจจุบันติดจำนองธนาคารในวงเงิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาจำนองและบันทึกข้อตกลงต่อท้ายเอกสารหมาย ล.๒๑และ ล.๒๒ และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่ ๑๑๐๖และ๑๑๐๙ ของบริษัทนิวัชแลนด์คอปโปเรชั่น จำกัด ก็ได้จำนองไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด ในวงเงินรวม ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐บาท ตามสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายเอกสารหมาย ล.๒๘ และ ล.๒๙ ต่อมาผู้จำนองได้ขึ้นเงินจำนองอีก ๒ครั้ง รวมเป็นเงิน๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ได้พิจารณารูปที่ดินและเขตติดต่อที่ปรากฏด้านหน้าหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่๑๒๑๓ ถึง ๑๒๑๕ แล้ว ปรากฏว่าที่ดินทั้งสามแปลงตั้งอยู่ติดกันโดยด้านหน้าติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๑ ซึ่งเป็นทางหลวงระหว่างจังหวัดชลบุรีกับจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนด้านหลังติดถนนสาธารณประโยชน์ รูปที่ดินมีลักษณะเหมาะแก่การลงทุนทำธุรกิจ ส่วนที่ดินของบริษัทนิวัชแลนด์คอปโปเรชั่น จำกัด ก็ปรากฏเนื้อที่ทั้งสองแปลงรวมกันเกือบ ๑,๖๐๐ไร่ ตั้งอยู่ติดทางหลวงแผ่นดินหายเลข ๓๓๑ เช่นกันดังนั้นไม่ว่าผู้รับจำนองจะให้วงเงินคิดเป็นอัตราส่วนเท่าใดของราคาท้องตลาดของที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ไม่อาจนำมาเปรียบกับราคาที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยาเพราะทางพิจารณาได้ความว่า ที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยาขายให้แก่เมืองพัทยาอยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๑ ประมาณ ๓ กิโลเมตร ประกอบกับรูปที่ดินที่นายพีระขายให้แก่เมืองพัทยามีด้านที่ติดถนนสาธารณะเป็นส่วนน้อยและไม่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่มีลักษณะขยัก อีกทั้งยังมีข้อโต้แย้งว่าที่ดินดักล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ นอกจากนั้นเมื่อเมืองพัทยาตกลงซื้อที่ดินจากนายพีระเพียง ๑๔๐ ไร่ นายพีระได้แบ่งแยกที่ดินส่วนเกิน ๑๐ ไร่ เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่ ๑๙๘๓ และจดทะเบียนขายให้แก่นายบรรเจิด ธีระเวทย์ เมื่อวันที่๑๔กรกฎาคม ๒๕๓๖ ในราคาเพียงไร่ละ ๓๐,๐๐๐บาท ตามสำเนาสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๖๒ จากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาข้างต้น ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า นายพีระซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ก.)เลขที่๑๒๑๘ มาในราคาเกินกว่าไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท
จากพฤติการณ์การจัดซื้อที่ดินที่มีความผิดปรกติดังวินิจฉัยข้างต้นโดยเฉพาะการจัดซื้อที่ดินในราคาแพงกว่าท้องตลาดถึง ๑๐ เท่าตัวนั้นย่อมบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าในขั้นตอนกระบวนการจัดซื้อมีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะนายวิทยาซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยาผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดซื้อ มีพฤติการณ์ผิดปรกติวิสัยหลายประการดังวินิจฉัยข้างต้น เมื่อพิจารณาประกอบกับหลังจากเมืองพัทยารับโอนที่ดินจากนายพีระแล้ว ปรากฏว่านายวิทยาได้นำเช็คที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่าย จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐บาทตามเอกสารหมาย จ. ๑๑๐ และเช็คที่ภริยาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๐๒ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑หรือภริยามีธุรกิจใดๆกับนายวิทยา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า นายวิทยาซึ่งมีหน้าที่จัดซื้อที่ดินได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทุจริตในการจัดซื้อที่ดินจากนายพีระอันเป็นการเสียหายแก่เมืองพัทยาทำให้ต้องซื้อที่ดินแพงกว่าราคาท้องตลาดเป็นอย่างมาก เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๕๑และมาตรา ๑๕๗
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ ๔ได้ร่วมกับนายวิทยาในการจัดซื้อครั้งนี้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ ๔ ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานนิติกร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการจัดซื้อที่ดินซึ่งในขั้นตอนการจัดซื้อกระทำกันอย่างรีบเร่งผิดปรกติ กล่าวคือคณะกรรมการจัดซื้อประชุมพิจารณาเรื่องจัดซื้อเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ โดยมีนายวิทยา ในฐานะประธานกรรมการจัดซื้อ เป็นประธานในการประชุมและจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นกรรมการจัดซื้อได้เข้าร่วมประชุมด้วย ในการพิจารณาของคณะกรรมการปรากฏว่าคณะกรรมการเพียงแต่นำราคาซื้อขายที่ดินในตำบลเขาไม้แก้วจำนวน ๓ราย ที่เมืองพัทยามีหนังสือสอบถามไปยังจำเลยที่ ๕ มาหาราคาเฉลี่ยทั้งสามแปลง แล้วสรุปให้ใช้เกณฑ์ราคาดังกล่าวในการเจรจาต่อรองกับเจ้าของที่ดินโดยคณะกรรมการไม่ได้คำนึงว่า ราคาจดทะเบียนซื้อขายที่ดินทั้งสามแปลงที่จำเลยที่ ๕ อ้างว่าได้สุ่มมานั้น มีสภาพที่ดินเป็นอย่างไร ตั้งอยู่ห่างจากที่ดินที่จะจัดซื้อมากน้อยเพียงใดและคณะกรรมการไม่ได้พิจารณาถึงข้อมูลอื่นๆ ของที่ดินที่จะจัดซื้อ เช่น ที่ดินตกอยู่ในฐานะถูกรอนสิทธิหรือไม่คงอยู่ในเขตป่าไม้หรือไม่ ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยซึ่งถือเป็นหน้าที่อันสำคัญของคณะกรรมการจัดซื้อจะต้องดำเนินการเพื่อจะได้ทราบราคาท้องตลาดของที่ดินที่จะซื้อ แต่คณะกรรมการจัดซื้อกลับพิจารณาอย่างรวบรัดแล้วมีมติให้เชิญเจ้าของที่ดินพาคณะกรรมการจัดซื้อไปดูที่ดินในวันรุ่งขึ้น พร้อมกำหนดนัดเจรจากับเจ้าของที่ดินในวันถัดมาเวลา ๙ นาฬิกา คณะกรรมการได้ออกไปดูที่ดินในวันรุ่งขึ้นและในวันถัดมาก็ทำบันทึกเสนอเห็นสมควรให้ซื้อที่ดินจากนายพีระในราคาไร่ละ๖๖๘,๐๐๐บาท พฤติการณ์ของคณะกรรมการจัดซื้อส่อไปในทางทุจริต หาใช่เพียงบกพร่องต่อหน้าที่ไม่ จำเลยที่ ๔ ซึ่งร่วมพิจารณาในคณะกรรมการจัดซื้อไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ควรจะเป็น และจะอ้างว่าเป็นมติส่วนใหญ่ของคณะกรรมการจัดซื้อตามที่จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์หาได้ไม่ เพราะตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๓๕ ข้อ ๒๙ วรรคสาม ที่จำเลยที่ ๔ อ้างมาท้ายอุทธรณ์ บัญญัติว่าหากกรรมการคนใดไม่เห็นด้วยกับมติกรรมการ ให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ได้ทำบันทึกความเห็นแย้ง และยังนำสืบว่าคณะกรรมการจัดซื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยหน้าที่แล้ว นอกจากนี้คณะกรรมการจัดซื้อรวมทั้งจำเลยที่ ๔ มีโอกาสได้ไปดูสภาพที่ดินที่นายพีระเสนอขาย ก็น่าจะสังเกตุพบเห็นความผิดปรกติได้ไม่ยากจากรูปลักษณะของที่ดินรวมทั้งตลอดทั้งสามารถสอบถามราคาจากชาวบ้านได้ ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับมอบอำนาจจากเมืองพัทยาไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากนายพีระได้ลงชื่อในบันทึกถ้อยคำซึ่งมาข้อความ “ด้วยที่ดินแปลงดังกล่าวข้างต้น กรมป่าไม้ได้เคยออกแนวเขตป่าสงวนทับเขตไว้ ข้าพเจ้าผู้ซื้อและผู้ขายรับทราบแล้ว ยืนยันจะซื้อขายกัน หากเกิดความเสียหาย ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น” เมื่อพิจารณาถึงสถานภาพของจำเลยที่ ๔ ซึ่งมีอายุ๔๐ปี รับราชการมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้างานนิติกร ระดับ ๖ ถือว่าผ่านประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานมามาก โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ ย่อมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเป็นอย่างดี เมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานที่ดินเช่นนั้น หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา จะต้องปฏิเสธการรับโอนแล้วรายงานผู้บังคับบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างเสียก่อน เพราะแม้เพียงข้อสงสัยว่าที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ ย่อมมีผลต่อราคาซื้อขายเป็นอย่างมาก หรือถ้าหากที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วย่อมไม่อาจซื้อขายกันได้เลย เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเมืองพัทยาอย่างร้ายแรง เรื่องนี้แม้ใช้สามัญสำนึกของวิญญูชนผู้ซื้อที่ดิน หากพบข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้ผู้ซื้อต้องเสียเปรียบเช่นนั้น ย่อมต้องปฏิเสธการรับโอนแน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ซื้อที่ดินรายพิพาทในฐานะส่วนตัว เมื่อพบข้อเท็จจริงดังกล่าวเชื่อได้ว่าจำเลยที่ ๔ ก็คงปฏิเสธการรับโอน แต่จำเลยที่ ๔ กลับยอมลงชื่อในบันทึกข้อความดังกล่าวและรับโอนที่ดินจากนายพีระ ที่จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๔ ได้โทรศัพท์แจ้งนายวิทยา นายวิทยาได้ปรึกษานายสุพงษ์ อำไพกิจพาณิชย์ รองปลัดเมืองพัทยา แล้วนายวิทยาแจ้งยืนยันให้จำเลยที่ ๔ รับโอนได้ หากจำเลยที่ ๔ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งย่อมเป็นการผิดวินัยนั้น เห็นว่า ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้สอบจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้ต้องหาว่า เมื่อจำเลยที่ ๔ ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานสอบสวนที่ดินว่าที่ดินที่นายพีระเสนอขายให้แก่เมืองพัทยานั้น กรมป่าไม้ได้เคยออกแนวเขตป่าไม้ไว้แล้ว จำเลยที่ ๔ ได้แจ้งให้ปลัดเมืองพัทยาหรือผู้ใดทราบหรือไม่ จำเลยที่ ๔ กลับไม่ขอให้การในเรื่องดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวน แต่ขอให้การชั้นศาล หากจำเลยที่ ๔ ได้แจ้งนายวิทยาถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวตามที่เบิกความก็ไม่มีเหตุที่จะไม่ให้การต่อพนักงานสอบสวนเพราะเป็นข้อที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาประโยชน์ของบ้านเมือง แต่จำเลยที่ ๔ เพิ่งมาเบิกความในชั้นพิจารณาถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวหลังจากนายวิทยาถึงแก่ความตายไปแล้ว แม้จำเลยที่ ๔ จะมีนายสุพงษ์ ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองปลัดเมืองพัทยาเบิกความสนับสนุนว่า ขณะจดทะเบียนจำเลยที่ ๔ ได้โทรศัพท์มาสอบถามพยานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พยานได้ให้ความเห็นไปว่าการลงชื่อในบันทึกข้อความดังกล่าวไม่มีผลตามกฎหมายและแจ้งให้ จำเลยที่ ๔ ลงชื่อในบันทึกได้ แต่ก็ขัดกับคำเบิกความของจำเลยที่ ๔ ซึ่งเบิกความว่า จำเลยที่ ๔โทรศัพท์แจ้งปลัดเมืองพัทยา แต่ได้รับแจ้งว่าให้รอสักครู่ขอปรึกษากับนายสุพงษ์รองปลัดเมืองพัทยาก่อน หลังจากนั้นประมาณ ๕ นาฑี จำเลยที่ ๔ ก็ได้รับแจ้งจากเมืองพัทยาให้ลงชื่อรับโอนที่ดินได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ ๔ในเรื่องนี้จึงไม่อาจรับฟังได้ อย่างไรก็ตามโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับทรัพย์สินจากการจัดซื้อครั้งนี้ รูปคดีจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยที่ ๔ ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ แต่การกระทำของจำเลยที่ ๔ ดังวินิจฉัยข้างต้นเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เมืองพัทยา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๔ ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ที่จำเลยที่ ๔อุทธรณ์ว่า การจัดซื้อที่ดินพิพาทได้ทำตามระเบียบราชการทุกขั้นตอน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้วนั้นเห็นว่า การจัดซื้อได้ทำตามระเบียบราชการหรือไม่ กับผู้มีหน้าที่จัดซื้อได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือไม่นั้น เป็นคนละประเด็นกัน แม้การจัดซื้อจะทำตามระเบียบราชการผู้มีหน้าที่จัดซื้อก็อาจทำการทุจริตในการจัดซื้อได้ดังที่ทราบกันทั่วไปว่าการทุจริตคอรัปชั่นในวงการราชการ มีการพัฒนารูปแบบให้มีความแนบเนียนยิ่งขึ้น โดยการออกกฎระเบียบรองรับการทุจริตหรือที่เรียกว่า คอรัปชั่นเชิงนโยบายซึ่งยากแก่การปราบปราม ทำให้ประเทศชาติสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นจำเลยที่ ๔ จึงไม่อาจอ้างว่าการจัดซื้อถูกต้องตามระเบียบราชการมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดในเมื่อได้มีการจัดซื้อที่ดินสูงกว่าราคาท้องตลาดถึง ๑๐ กว่าเท่าตัว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ในข้อต่อมามีว่า จำเลยที่ ๓ ได้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔ และนายวิทยากระทำความผิดตามคำฟ้องข้อ(ก)หรือไม่ โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ กับพวกร่วมกับสนับสนุนจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และนายวิทยาในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ ๑๕๗ โดยร่วมกันกระทำการอันเป็นความผิดฐานสนับสนุน ๓ประการด้วยกัน คือประการแรก ร่วมกันดำเนินการให้นายพีระซื้อที่ดินซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด ในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท ประการที่ ๒ ร่วมกันดำเนินการให้นายอำนวย จันทร์เทียน นายสมใจ จันทร์เทียน นายเยิ้ม อยู่สบาย นายอำพล จันทร์เทียน นายเพ็ชร จันทร์เทียน นางหอม นฤทัย ซึ่งมีที่ดินตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่ดินนายพีระซื้อจากบริษัทดังกล่าวไปจดทะเบียนซื้อขายกันในราคาสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานแสดงว่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินที่นายพีระซื้อจากบริษัทดังกล่าวมีราคาใกล้เคียงกับที่ดินที่จำเลยที่ ๓กับพวก จะเสนอขายให้แก่เมืองพัทยา และประการที่ ๓ ร่วมกันดำเนินการให้ราษฎร ๖ราย ดังกล่าวแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง จดทะเบียนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นเท็จ ความจริงไม่มีการชำระราคาซื้อขายตามที่แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินแต่อย่างใด ทั้งนี้เพื่อนำหลักฐานการซื้อขายไปใช้ประกอบในการที่เมืองพัทยาซื้อที่ดินจากนายพีระ เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่ได้วินิจฉัยตามฟ้องข้อ (ง) แล้วว่า จำเลยที่ ๓ได้ใช้นายอำนวย จันทร์เทียนกับนางสมใจ จันทร์เทียน แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุงจดทะเบียนซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๒๘๒๗ ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในราคา๑,๒๐๐,๐๐๐บาท อันเป็นเท็จ ความจริงบุคคลทั้งสองไม่ได้มีเจตนาซื้อขาย และไม่มีการชำระราคาที่ดินกัน ทั้งนี้เพื่อนำหลักฐานการซื้อขายไปใช้ประกอบการเสนอขายที่ดินบริเวณใกล้เคียงให้แก่เมืองพัทยา และใช้นายอำพล จันทร์เทียน กับนายเยิ้ม อยู่สบาย กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันตามคำฟ้องข้อ (ฉ) ดังนั้นพึงเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๓ ตามฟ้องข้อ (ง) และ(ฉ) ย่อมเป็นการกระทำเดียวกันตามฟ้องข้อ(ข) จำเลยที่ ๓ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๕๗ และฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นายวิทยากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ กับพวกร่วมดำเนินการให้นายพีระไปติดต่อซื้อที่ดินจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ. จำกัด คอปโปเรชั่น จำกัด จำนวน ๑๕๐ ไร่ ในราคาไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท นั้น โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบตามที่ฟ้อง ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๓ กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ ๑๕๗ ตามคำฟ้องข้อ (ข) จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ ต้องลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖ ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ ๓ มานั้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ ๓ มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๓ กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔และนายวิทยากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ ๑๕๗ ตามคำฟ้องข้อ(ข) และกระทำความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๔ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เห็นสมควรวินิจฉัยในความผิดทั้ง ๒ ข้อหา ดังกล่าวไปพร้อมกัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายพีระซื้อที่ดินมาในราคาไร่ละ๕๐,๐๐๐บาท จำนวน ๑๔๐ ไร่ เพียงชั่วระยะเวลา ๖ ถึง ๗เดือน ได้ขายให้แก่เมืองพัทยาในราคาไร่ละ ๖๖๘,๐๐๐บาท มีกำไรถึง ๘๖,๐๐๐,๐๐๐บาท เศษ โดยนายวิทยาปลัดเมืองพัทยาซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงสุดในเมืองพัทยาเป็นประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ กระทำการทุจริตในการจัดซื้อได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าต้องมีกลุ่มบุคคลร่วมทุจริตอยู่เบื้องหลังอีกหลายคนอย่างแน่นอน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ นั้น โจทก์นำสืบว่า นายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ โดยโจทก์มีนายสมุทร ศิลปรัตน์ ลูกจ้างประจำของมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเป็นพี่ชายนายพีระเบิกความว่า เดิมนายพีระชื่อเฉลียวและมีชื่อในสำเนาทะเบียนบ้านพักอาศัยตามสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.๑๔๘ ก่อนเกิดเหตุนายพีระทำงานเป็นคนสวนอยู่ที่บ้านของจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ทราบว่านายพีระพักอาศัยที่บ้านจำเลยที่ ๑ หรือเดินทางไปกลับ พยานเคยไปที่บ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒ ถึง ๓ครั้ง เท่าที่ทราบนายพีระไม่มีทรัพย์สินหรือเงินเก็บ พยานรู้จักจำเลยที่ ๑และได้ชี้ตัวจำเลยที่ ๑ ในห้องพิจารณา ข้อเท็จจริงที่พยานตอบโจทก์ซักถามดังกล่าวสอดคล้องกับที่พยานให้การต่อพนักงานสอบสวนตามคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑๙๖ พยานปากนี้ให้การชั้นสอบสวนมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของนายพีระว่า นายพีระ จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่๖ จากโรงเรียนแสนสุขแล้วไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ที่โรงเรียนชลราษฎร์อำรุง แต่ไม่สนใจการเรียนจนถูกโรงเรียนไล่ออก หลังจากพ้นเกณฑ์ทหารแล้ว นายพีระได้คบหาเที่ยวเตร่กับนายสมชาติ คุณปลื้ม น้องชายคนเล็กของจำเลยที่ ๑ จนถูกชักนำไปทำงานที่บ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๕ ถึง ๖ปี ทำหน้าที่ดูแลต้นไม้เพราะนายพีระ มีความรู้ด้านการตกแต่งสวนหย่อม นายพีระติดเฮโรอินถูกจับกุมและศาลพิพากษาจำคุกประมาณ ๒ ปี หลังพ้นโทษแล้วเลิกเสพเฮโรอินได้ จำเลยที่ ๑ จึงรับกลับเข้าทำงานเดิม เห็นว่า พยานปากนี้เป็นพี่ชายย่อมไม่มีเหตุจูงใจที่จะให้การบิดเบือนเกี่ยวกับประวัติของนายพีระ การที่พยานสามารถให้การต่อพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับประวัติของนายพีระได้อย่างละเอียดแสดงว่าพยานได้ติดตามและทราบความเป็นมาเป็นไปของนายพีระพอสมควร ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพยานปากนี้ว่า บ้านที่พยานพักอาศัยซึ่งนายพีระมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านนั้น เป็นบ้านของมารดาพยาน พยานพักอาศัยอยู่กับครอบครัวมา ๒๐ปี โดยนายพีระไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวประมาณ ๒๐ ปี แล้วเช่นกัน ข้อเท็จจริงที่พยานเบิกความว่า รู้จักจำเลยที่ ๑ และเคยไปบ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒ ถึง ๓ครั้ง ก็ตรงกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน และในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพบ้านของพยานปากนี้ไว้ปรากฏว่าเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้สภาพเก่าและปลูกอยู่ในสวนโดยมิได้มีสภาพเป็นเขตชุมชนตามภาพถ่ายหมาย จ.๑๐๒ ดังนั้น ที่พยานเบิกความว่า นายพีระมีสถานภาพเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ และไม่มีทรัพย์สินหรือเงินเก็บจึงมีเหตุผลน่ารับฟัง ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่าพยานปากนี้เบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านตอนหนึ่งว่า พยานทราบว่านายพีระมีอาชีพรับจ้างตกแต่งสวนตามสถานที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่านายพีระมิได้เป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นผู้รับจ้างจัดสวนหย่อมเป็นการทั่วไปนั้น เห็นว่า เป็นการเบิกความลอยๆขัดกับที่ให้การไว้โดยละเอียดในชั้นสอบสวน จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง และที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์อีกว่า พยานปากนี้เบิกความว่า เคยไปที่บ้านจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒ ถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่เคยพบนายพีระหากนายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ พยานก็น่าจะพบนายพีระนั้น เห็นว่า การที่พยานไปบ้านจำเลยที่ ๑ เพื่อพบนายพีระนั้นกลับเป็นการแสดงให้เห็นว่านายพีระน่าจะเป็นคนทำสวน ของจำเลยที่ ๑ ส่วนการไปแล้วไม่พบก็อาจเกิดจากนายพีระออกไปธุระนอกบ้าน ข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายดาบนิพนธ์ สุทธิอัมพร เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรตำบลแสนสุขซึ่งบ้านของจำเลยที่ ๑ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบเบิกความว่า พยานรู้จักนายพีระ ก่อนเกิดเหตุนายพีระเป็นคนทำสวนอยู่ที่บ้านของจำเลยที่ ๑ โดยนายพีระเคยมาติดต่อขอให้พยานไปจับกุมคนร้ายในกรณีพี่สาวนายพีระถูกสามีแทงตายซึ่งพยานจับกุมคนร้ายได้ ขณะนั้นนายพีระยังทำงานเป็นคนทำสวนอยู่ที่บ้านจำเลยที่ ๑ ข้อที่พยานเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านว่า พยานเห็นนายพีระ ทำสวนและติดต่อที่บ้านจำเลยที่ ๑ จึงเข้าใจว่านายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑ นั้น ไม่มีเหตุผลให้รับฟังเป็นอย่างอื่นเพราะวิสัยของตำรวจต้องซักถามรายละเอียดของผู้มาร้องทุกข์ให้จับคนร้ายในคดีฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นคดีอุกฉกรรจ์ หากนายพีระประกอบอาชีพรับเหมาตกแต่งสวนหย่อมให้จำเลยที่ ๑ ตามที่จำเลยที่ ๑นำสืบก็ไม่มีเหตุที่นายพีระต้องให้ที่อยู่เจ้าพนักงานตำรวจติดต่อที่บ้านของจำเลยที่ ๑ และโจทก์ยังมี นางสนอง เปรมเจริญ ซึ่งเคยทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดบ้านจำเลยที่ ๑ ในระหว่างปี ๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๑ เป็นพยานนำสืบถึงสถานภาพของนายพีระโดยโจทก์นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายพีระตามเอกสารหมาย จ.๑๔๘ ให้พยานดู พยานดูแล้วเบิกความว่าบุคคลตามบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวพยานรู้จักในชื่อนายเฉลียวซึ่งเป็นผู้พาคนงานเข้ามาจัดสวนที่บ้านจำเลยที่ ๑ เป็นประจำ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชื่อของนายพีระที่ว่าเดิมชื่อนายเฉลียวก็ตรงกับคำของนายสมุทรซึ่งเป็นพี่ชายนายพีระ เมื่อโจทก์อ่านคำให้การชั้นสอบสวนให้พยานฟังเกี่ยวกับเงินเงินเดือนของนายพีระก็รับฟังว่าได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่านายพีระรับเงินเดือน๔,๐๐๐บาท โดยประมาณการจากเงินเดือนที่พยานรับอยู่ ๙๐๐ บาท ส่วนคำให้การชั้นสอบสวนที่ระบุว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้นายพีระนั้น พยานเบิกความว่า ความจริงแล้วภริยาของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่าย พยานปากนี้ยังให้การในชั้นสอบสวนอีกว่า พยานไม่เคยเห็นนายพีระมีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ คงใช้แต่รถยนต์กระบะของจำเลยที่ ๑ เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของพยานปากนี้พบว่าเบิกความเป็นเหตุเป็นผลไม่มีลักษณะส่อไปในทางปรักปรำจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ก็รับว่าพยานปากนี้เคยทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านจำเลยที่ ๑จริง ส่วนที่จำเลยที่ ๑ เบิกความว่า สามีของพยานปากนี้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรแสนสุข โดยหน้าที่แล้วก็เป็นลูกน้องของพลตำรวจโทเสรีซึ่งมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นข้ออ้างที่ไกลเกินกว่าเหตุเพราะข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าสามีของพยานปากนี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาที่กระทำผิดในคดีนี้เลย ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ เมื่อพิจารณาสถานภาพของนายพีระแล้วจะเห็นว่าไม่ปรากฏว่านายพีระมีบ้านหรือทรัพย์สินใดๆไม่ปรากฏหลักฐานถึงสถานภาพทางการเงินว่าจะเป็นผู้มีเงินหลายล้านบาทไปซื้อที่ดินมาขายให้กับเมืองพัทยา แม้แต่ค่าธรรมเนียมในการโอนขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยายังต้องให้นายวิชัย คูหา ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง นำเงินของธนาคารมาทดรองจ่าย พฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่านายพีระเป็นคนทำสวนของจำเลยที่ ๑
โจทก์ยังมีนายปัญญา โพธิ์แก้ว เจ้าหน้าที่ป้องกันดับเพลิงประจำเมืองพัทยาเบิกความว่า ประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๕ พยานทราบประกาศจัดซื้อที่ดินตามเอกสารหมาย จ.๑๕ จึงแจ้งนายวีระ บำรุงยา ซึ่งเป็นเพื่อนให้จัดหาที่ดินมาเสนอขาย ต่อมานายวีระรวบรวมที่ดินได้ ๑๕๐ ไร่ ห่างจากเมืองพัทยา ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ในราคาไร่ละ๓๐๐,๐๐๐บาทถึง ๕๐๐,๐๐๐บาท พยานไปดูที่ดินที่นายวีระรวบรวมด้วย แต่พยานเบิกความตอบโจทก์ซักถามในตอนต่อมาว่า พยานตรวจดูเอกสารสิทธิของที่ดินที่นายวีระนำมาให้ดูแล้วพบว่าคุณสมบัติไม่ตรงตามประกาศของเมืองพัทยาเพราะที่ดินบางแปลงมีทางสาธารณะผ่ากลางจึงปรึกษานายวัฒนา จันทร์วรานนท์ สมาชิกเมืองพัทยา ทำให้ทราบว่ามีผู้ขายที่รายอื่นได้เสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาเรียบร้อยแล้วโดยผู้เสนอขายคือกำนัน พยานคืนเอกสารสิทธิให้นายวีระไป เห็นว่าพยานปากนี้เบิกความขัดแย้งกันเอง กล่าวคือ เบิกความตอนต้นว่า นายวีระได้นำเอกสารสิทธิมาให้พยานดูและพยานได้ไปดูที่ดินด้วย แต่กลับเบิกความในตอนต่อมาว่า เมื่อตรวจดูเอกสารสิทธิแล้วพบว่าคุณสมบัติไม่ถูกต้องเพราะที่ดินมีทางสาธารณะคั่นกลาง หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมไม่มีเหตุที่พยานต้องไปดูสภาพที่ดิน พยานปากนี้ยังเบิกความตอบโจทก์ว่า ที่ดินที่นายวีระรวบรวมห่างจากเมืองพัทยาประมาณ ๑๕ กิโลเมตร แต่กลับเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านว่า ที่ดินที่นายวีระรวบรวมมาห่างจากเมืองพัทยาเกิน ๑๕ กิโลเมตร โดยเฉพาะนายวัฒนา จันทนวรานท์ ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์กลับเบิกความว่า พยานได้ตรวจดูหลักฐานที่ดินที่นายปัญญานำมาเสนอขาย ปรากฏว่ามีเนื้อที่เพียง ๙๐ไร่ จึงบอกให้นายปัญญาไปหาทิ่ดินเพิ่ม แต่นายปัญญาตอบว่าไม่ทราบว่าจะหาที่ดินเพิ่มได้ทันหรือไม่ เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียง ๑วัน ก็จะครบกำหนดตามประกาศของเมืองพัทยา ต่อมาพยานพบนายปัญญาจึงได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายปัญญาบอกว่าหาที่ดินเพิ่มไม่ทันกำหนด จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากซึ่งเบิกความในเรื่องเดียวกันแต่แตกต่างกันเช่นนี้ แสดงว่าพยานโจททั้งสองปากดังกล่าวมิได้เบิกความตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่าที่นายปัญญา เบิกความว่านายวัฒนาแจ้งว่ามีกำนันเป็นผู้เสนอขายที่ดินแก่เมืองพัทยา ซึ่งเป็นเหตุให้นายปัญญาถึงกับตัดสินใจไม่นำที่ดินที่ให้นายวีระรวบรวมมายื่นเสนอขายต่อเมืองพัทยานั้น เป็นเรื่องที่น่าจะต้องพิจารณาต่อไปว่ากำนัน ที่นายปัญญาเบิกความถึงนั้นหมายถึงใคร เพราะขณะนายปัญญารวบรวมที่ดินนั้นอยู่ระหว่างเมืองพัทยาเพิ่งออกประกาศครั้งแรกซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏในภายหลังว่า การประกาศครั้งแรกไม่มีผู้ใดเสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ จะได้พิจารณาคำเบิกความของพยานทั้งสองปากนี้ว่าจริงน่าจะเป็นเช่นไร โดยโจทก์มีนางเคี้ยน อ่ำแห เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ นายวีระ บำรุงยา ญาติพยานได้ขอให้พยานหาที่ดินบริเวณตำบลเขาไม้แก้วประมาณ ๒๐๐ ไร่ ให้ครบภายใน ๗วัน เพื่อเสนอขายให้แก่เมืองพัทยาใช้เป็นที่ทิ้งขยะ พยานไปติดต่อลูกหลานที่มีที่ดินบริเวณดังกล่าวปรากฏว่ารวบรวมที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ก.) ได้ประมาณ ๑๖๐ ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากบ้านพยานประมาณ ๙กิโลเมตร โดยบ้านพยานห่างจากเมืองพัทยาประมาณ ๒กิโลเมตรโดยเสนอขายราคาไร่ละ ๓๐๐,๐๐๐บาทถึง ๕๐๐,๐๐๐บาท เมื่อพยานรวบรวมที่ดินได้ ๑๖๐ ไร่ แล้ว นายวีระบอกให้พยานนำเอกสารสิทธิของที่ดินไปยื่นเสนอต่อเมืองพัทยา แต่ในเย็นวันเดียวกันนั้นนายวีระมาบอกว่าไม่ต้องไปยื่นประมูลแล้ว เนื่องจากกำนันได้ยื่นเสนอขายในราคาต่ำกว่า พยานทราบภายหลังว่ากำนันที่เสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยา ตามที่นายวีระบอกคือจำเลยที่ ๑ พยานปากนี้เป็นชาวบ้านมีอายุมากถึง ๗๔ ปี ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าพยานรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ ๑ มาก่อน และยังเบิกความว่า เพิ่งเคยเห็นจำเลยที่ ๑ ในวันที่เบิกความนั่นเอง ข้อที่พยานอ้างว่ารวบรวมที่ดินได้ ๑๖๐ ไร่ นั้น พยานก็สามารถตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ ๑ แจกแจงถึงเจ้าของที่ดินแต่ละคนที่พยานไปรวบรวมมาซึ่งมีทั้งหมด ๗ คน จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่า พยานเบิกความตามที่ตนประสบพบเห็นจริง พยานปากนี้ยังตอบทนายจำเลยที่ ๑ ถามค้านยืนยันว่า พยานทราบจากนายวีระว่ากำนันเป๊าะ ซึ่งหมายถึงจำเลยที่ ๑ เป็นผู้นำที่ดินไปขายให้แก่เมืองพัทยา เมื่อพิเคราะห์ถึงพยานปากนี้ประกอบคำของนายปัญญาและนายวัฒนาแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อที่นายปัญญาอ้างว่าที่ดินมีทางสาธารณะคั่นกลางไม่ติดต่อเป็นแปลงเดียวกันก็ดี หรือข้อที่นายวัฒนา อ้างว่านายปัญญาไม่สามารถรวบรวมที่ดินครบตามประกาศของเมืองพัทยาก็ดี ล้วนแต่ขัดกับคำเบิกความของนางเคี้ยน จึงรับฟังไม่ได้และยังบ่งชี้ให้เห็นอีกว่ากำนันที่เสนอขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาจนเป็นเหตุให้นายปัญญาตัดสินใจไม่ยื่นเสนอแข่งด้วยนั้นก็คือกำนันเป๊าะหรือจำเลยที่ ๑ นั่นเอง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายพีระเป็นเพียงคนทำสวนในบ้านจำเลยที่ ๑ และเป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ในการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยา ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๑ ให้นายพีระซื้อที่ดินจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด ในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แล้วขายให้แก่เมืองพัทยาในราคาไร่ละ ๖๖๘,๐๐๐บาท โดยที่จำเลยที่ ๔และนายวิทยาทราบดีอยู่แล้วถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ยังดำเนินการจัดซื้อโดยเจตนาทุจริตเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๔ และนายวิทยาเพราะหากจำเลยที่ ๑ ไม่ดำเนินการให้นายพีระไปซื้อที่ดินจากบริษัทดังกล่าวมาเพื่อเสนอขายให้แก่เมืองพัทยา จำเลยที่ ๔กับนายวิทยาย่อมไม่อาจกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ ๑๕๑ ได้สำเร็จ แต่เนื่องจากความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวผู้กระทำจะต้องเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่เท่านั้น แต่จำเลยที่ ๑ ขาดคุณสมบัติดังกล่าวอันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความผิด การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเพียงความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๔ และนายวิทยากระทำความผิดดังกล่าว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่า จำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับพวกดำเนินการให้นายอำนวย นายสมใจ นายเยิ้ม นายอำพล นายเพ็ชรและนางหอม ซึ่งมีที่ดินอยู่บริเวณใกล้เคียงไปแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง จดทะเบียนซื้อขายที่ดินแก่กันอันเป็นความเท็จหรือไม่อีกต่อไป
ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อมาว่า ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิครอบครองเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ เมืองพัทยาได้จ่ายค่าที่ดินให้นาย
พีระเป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) สาขาพัทยา จำนวนเงิน ๙๓,๕๒๐,๐๐๐บาท นายวิชัยผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาบ้านฉาง ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาบ้านฉางซึ่งเปิดไว้ก่อนแล้ว นายพีระกับนายวิชัยเดินทางมาที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง นายวิชัยนำใบถอนเงินให้นายพีระลงชื่อไว้หลายฉบับ ในวันเดียวกันนั้นนายพีระถอนเงิน ๓๒,๐๖๐,๙๘๖ บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารเดียวกัน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐บาท อีก ๒,๒๖๐,๙๘๖ บาท จ่ายค่าธรรมเนียมที่ธนาคารทดรองออกไปก่อน วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๓๖ มีการถอนเงินจากบัญชีนายพีระ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ วันที่ ๒๒ มิถุนายน๒๕๓๖ มีการถอนเงินจากบัญชีนายพีระ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ มีการโอนเงินจากบัญชี นายพีระ ๑๙,๗๖๑,๐๐๐บาท ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐บาท และโอนเข้าบัญชีของภริยาจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหนองมน จำนวน ๑๓,๐๐๐,๐๐๐บาท ส่วนอีก ๑,๗๖๐,๐๐๐บาท ไม่ปรากฏที่ไปของเงิน และวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๖ มีการถอนเงินจากบัญชีนายพีระเป็นครั้งสุดท้าย จำนวน ๖,๕๓๕,๐๔๒.๗๔ บาท จนเงินหมดบัญชีและปิดบัญชี จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าหลังจากเมืองพัทยาจ่ายค่าที่ดินแล้ว กระแสการไหลของเงินที่นายพีระได้จากการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาได้ไหลออกจากบัญชีของนายพีระไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ เกือบทั้งหมด คงไม่ปรากฏที่ไปของเงินเพียง ๘,๐๐๐,๐๐๐บาท กว่าบาทเท่านั้น ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อมาว่า หลังจากกระแสเงินไหลจากบัญชีนายพีระไปสู่บัญชีของจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้โอนเงินเข้าบัญชีของภริยารวม ๓ ครั้ง จำนวน ๗๐,๐๐๐,๐๐๐บาท คือในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐บาท วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และวันที่ ๖กรกฎาคม ๒๕๓๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับเงินที่นายพีระโอนเข้าบัญชีภริยาจำเลยที่ ๑ อีก ๑๓,๐๐๐,๐๐๐บาทแล้ว เท่ากับมีเงินไหลเข้าบัญชีของภริยาจำเลยที่ ๑ ถึง ๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อมาอีกว่า กระแสการไหลของเงินในบัญชีของภริยาจำเลยที่ ๑ ได้ไหลกลับเข้าบัญชีจำเลยที่ ๑ ที่เปิดไว้กับธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดชลบุรี กล่าวคือ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๖ ภริยาจำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหนองมน ๑๑,๐๐๐,๐๐๐บาท วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีที่จำเลยที่ ๑กับพวกเปิดไว้ที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาหนองมน อีก ๑๐,๐๐๐,๐๐๐บาท จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า เหตุที่จำเลยที่ ๑ โอนค่าที่ดินเข้าบัญชีของภริยาที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหนองมน เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีบัญชีของธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ทำให้ไม่สะดวกในการแบ่งเงินแก่คู่กรณี ๓ ฝ่ายนั้น ไม่สมเหตุผลเพราะการที่จำเลยที่ ๑ กับนายพีระมาเปิดบัญชีที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งไกลจากเมืองพัทยานั้นเป็นการส่อพิรุธ และข้อที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์อีกว่า นายวิชัย รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยที่ ๑ จึงขอร้องให้จำเลยที่ ๑ ช่วยพูดกับนายพีระมาเปิดบัญชีที่ธนาคารดังกล่าวเพื่อจะเป็นผลงานของตนนั้นก็ปรากฏว่าบัญชีของนายพีระและจำเลยที่ ๑ เป็นบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ทั้งจำเลยที่ ๑ กับนายพีระพักเงินในบัญชีเพียงไม่กี่วัน ยิ่งกว่านั้นนายวิชัยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ สรุปได้ว่า นายวิชัยคุ้นเคยกับจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ เคยเป็นเจ้าภาพแต่งงานให้ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ให้นายพีระแสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดินที่ขายให้แก่เมืองพัทยา นายพีระเคยมาถอนเงินในวันที่จดทะเบียนและเซ็นชื่อในใบถอนเงินหลายใบให้นายวิชัยเก็บไว้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ต้องการถอนเงินจากบัญชีนายพีระก็จะโทรศัพท์มาแจ้งนายวิชัย ตามคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑๖๔ แม้นายวิชัยจะเบิกความปฏิเสธความถูกต้องของคำให้การเพิ่มเติมดังกล่าว แต่เหตุผลที่อ้างว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจโทรศัพท์มาข่มขู่ว่า หากเลื่อนให้การอีกจะออกหมายจับและรายงานผู้บังคับบัญชานั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เพราะแสดงให้เห็นว่านายวิชัยพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้การต่อตำรวจ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าภริยาของจำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีออมทรัพย์ของตน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐บาท จะเห็นว่ากระแสการไหลของเงินจากการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยานั้นเกือบทั้งหมดหมุนเวียนอยู่ในบัญชีของจำเลยที่ ๑และภริยา ส่วนนายพีระคงปรากฏหลักฐานว่า ได้นำเช็คที่มีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจำนวน ๕๐๐,๐๐๐บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๑๒ เท่านั้น ทั้งที่นายพีระขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยามีกำไรสูงถึง ๘๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อพิเคราะห์ถึงสถานภาพของนายพีระดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ยิ่งปรากฏชัดว่า นายพีระเป็นตัวแทนหรือหุ่นเชิดของจำเลยที่ ๑ ในการโอนขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาในครั้งนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าหลังจากเมืองพัทยาจดทะเบียนรับโอนที่ดินให้แก่เมืองพัทยาในครั้งนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าหลังจากเมืองพัทยาจดทะเบียนรับโอนที่ดินจากนายพีระเพียงไม่กี่วัน ต่อมานายวิทยาได้นำเช็คผู้ถือที่ภริยาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายจำนวนเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารอีกตามเช็คเอกสารหมาย จ. ๑๑๐ โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายวิทยากับจำเลยที่ ๑หรือภริยาจำเลยที่ ๑ มีธุรกรรมใดๆต่อกันที่จะต้องสั่งจ่ายเช็คเป็นจำนวนสูงถึงหลายล้านบาทและจำนวนเงินตามเช็คสูง แต่กลับสั่งจ่ายเป็นเช็คผู้ถือ เมื่อพิจารณาประกอบข้อพิรุธต่างๆในการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ของคณะกรรมการจัดซื้อซึ่งมีนายวิทยาเป็นประธานกรรมการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดซื้อที่ดินแพงกว่าราคาท้องตลาดถึง ๑๐ กว่าเท่าตัวแล้ว จากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้ว่าเช็คที่จำเลยที่ ๑ และภริยาสั่งจ่ายทั้งสองฉบับที่นายวิทยานำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารนั้นเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับจากจำเลยที่ ๑ เพื่อการทุจริตในการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้รับว่าจะให้ตั้งแต่แรก การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๔ ตามคำฟ้องข้อ (ค) ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อที่ดินพิพาทภายหลังจากที่เมืองพัทยาตกลงซื้อที่ดินจากนายพีระแล้ว แต่เปิดปัญหาเรื่องส่วนแบ่งในเงินที่ได้จากการขายที่ดินระหว่างเจ้าของที่ดิน ผู้ซื้อ และนายหน้าโดยคู่กรณีดังกล่าวเกรงว่า เมื่อนายพีระได้รับเงินแล้วจะไม่นำมาแบ่งกัน จึงมีผู้ใหญ่ที่จำเลยที่ ๑ นับถือ ขอร้องให้จำเลยที่ ๑ ช่วยไกล่เกลี่ยให้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ได้พิจารณาคำเบิกความของจำเลยที่ ในกรณีนี้แล้วจำเลยที่ ๑ เบิกความตอบคำซักถามทนายความของตนว่า คู่กรณี ๓ ฝ่าย คือเจ้าของที่ดินมีนางสมใจ ฝ่ายผู้ซื้อมีนายพีระและนายบรรเจิด และฝ่ายนายหน้ามีจำเลยที่ ๒ กำนันเพ็ชรและนางสวนีย์ เมื่อจำเลยที่ ๑ เรียกคู่กรณีทั้งสามฝ่ายมาเจรจากันแล้วได้ความว่านางสมใจเป็นเจ้าของที่ดินที่ขายให้แก่เมืองพัทยาต้องการขายที่ดินนำเงินไปชำระหนี้จำนองที่ค้างชำระอยู่แก่สถาบันการเงิน จึงมอบหมายให้นางสวนีย์เป็นผู้ดำเนินการ นางสวนีย์ได้ขายที่ดินให้แก่นายพีระและนายพีระนำไปขายต่อให้แก่เมืองพัทยา เห็นว่า ข้อที่จำเลยที่ ๑ อ้างนางสวนีย์เป็นนายหน้าในการขายที่ดินและมีสิทธิในส่วนแบ่งค่าที่ดินรายพิพาทจนเกิดปัญหานั้น จำเลยที่ ๑ไม่ได้ถามค้านนางสวนีย์ ในขณะที่นางสวนีย์เบิกความเป็นพยานโจทก์ ทั้งนางสวนีย์เองก็เบิกความเพียงว่า นางสวนีย์มาทราบเรื่องที่ดินพิพาทหลังเกิดเหตุแล้ว และได้ตรวจดูพบว่าตนเป็นผู้ดำเนินการขายที่ดินแทน บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด เท่านั้น โดยไม่ได้เบิกความว่า ตนมีส่วนแบ่งในค่าที่ดินจากการที่นายพีระขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาแต่อย่างใด นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ อ้างต่อมาว่า คู่กรณี ๓ ฝ่าย ไม่ไว้ใจนายพีระจึงตกลงให้นำเงินค่าที่ดินเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ เพื่อจัดการแบ่งให้คู่กรณีดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากทางพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ เพื่อจัดการแบ่งให้แก่คู่กรณีดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากทางพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นมีผู้บารมี มีบุตรชายเป็นรัฐมนตรี หากจำเลยที่ ๑ ได้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคู่กรณีจนได้ข้อยุติตามที่อ้างแล้ว เชื่อว่า คู่กรณีดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ ๑ เบิกความว่ามีความนับถือจำเลยที่ ๑ คงไม่กล้าบิดพลิ้วอย่างแน่นอน เพราะหากบิดพริ้วอาจต้องมีอันเป็นไปอีกประการหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริง คู่กรณีที่มีสิทธิรับส่วนแบ่งย่อมสามารถมารอรับเงินจากนายพีระขณะนายพีระได้รับเช็คค่าที่ดินในวันจดทะเบียนโอนที่ดินได้อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่านายพีระทยอยโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันจดทะเบียนโอนที่ดินในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๖ หากคู่กรณีเกรงว่านายพีระจะบิดพลิ้ว เมื่อนายพีระได้รับค่าเช็คที่ดินก็น่าจะให้นายพีระลงชื่อสลักหลังให้จำเลยที่ ๑ นำไปเรียกเก็บเงินมิใช่ทยอยโอนเข้าบัญชีจำเลยที่ ๑ เช่นนี้ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นายพีระบิดพลิ้วได้ ประการสำคัญจำเลยที่ ๑ อ้างว่า คู่กรณีทั้ง ๓ ฝ่าย มีเพียง ๕คน แต่จำเลยที่ ๑ ไม่มีหลักฐานทางการเงินใดๆมาแสดงว่าได้จัดสรรเงินส่วนแบ่งให้แก่คู่กรณีดังที่อ้างเลย คงปรากฏหลักฐานจากการนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ ได้นำเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่าย ๒ฉบับ รวม๕๘๐,๐๐๐ บาทตามเอกสารหมาย จ.๓๐๓และ จ.๑๑๑ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารและนายพีระได้นำเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๑๓ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารเท่านั้น ทั้งที่เงินค่าที่ดินมีจำนวนมากถึง ๙๘,๕๒๐,๐๐๐บาท ข้อที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าตนไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยจึงไม่มีความจำเป็นต้องบันทึกรายละเอียดในเงินส่วนแบ่งของคู่กรณีไว้เป็นหลักฐานนั้น เห็นว่า เงินจำนวนมากเช่นนั้นหากมีการแบ่งให้แก่คู่กรณีคงจะสั่งจ่ายเช็คซึ่งจะเป็นการสะดวก จำเลยที่ ๑ เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการหลายประเภท มูลค่าธุรกิจจำนวนมาก ย่อมมีประสบการณ์การใช้เช็คซึ่งการสั่งจ่ายเช็คแก่ผู้ใดโดยวิสัยของผู้สั่งจ่ายย่อมต้องระบุไว้ในต้นขั้วเช็คว่า จ่ายค่าอะไร แก่ใคร เพื่อไว้ตรวจสอบในภายหลัง หากจำเลยที่ ๑ ได้แบ่งให้แก่คู่กรณี ๓ ฝ่ายจริงก็น่าจะมีหลักฐานการเบิกถอนเงินตลอดจนหลักฐานการรับเงินเพราะเป็นเงินจำนวนมาก ทั้งที่จำเลยที่ ๑กับพวกเริ่มถูกดำเนินคดีเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๗ หลังจากโอนที่ดินในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๖เพียงปีเศษ จึงไม่เป็นการยากที่จะสืบค้นหลักฐานดังกล่าวซึ่งเป็นพยานสำคัญที่จะนำมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า หลังจากจำเลยที่ ๑ แบ่งเงินให้แก่คู่กรณี ๓ ฝ่ายแล้ว ยอดเงินคงเหลือในบัญชีของจำเลยที่ ๑ และภริยาใกล้เคียงกับยอดเงินเดิมนั้น ก็ไม่อาจเป็นเครื่องยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำความผิด เพราะอาจมีการถอนเงินออกจากบัญชีไปใช่หมุนเวียนในการประกอบธุรกิจซึ่งพนักงานสอบสวนยังสืบค้นไม่พบก็เป็นได้ เหตุนี้ข้ออ้าง ดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ จึงขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักแก่การรับฟัง ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ในประการต่อมาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนักธุรกิจ มีทนายความและที่ปรึกษากฎหมายหลายคนหากมีการทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน จำเลยที่ ๑ คงไม่เปิดบัญชีในนามตนเองให้นายพีระโอนเงินค่าที่ดินเข้าบัญชี และนายวิทยาคงไม่กล้าเสี่ยงรับสินบนเป็นเช็คไปเรียกเก็บเงินให้มีหลักฐานผูกมัดนั้น เห็นว่า ตามพยานหลักฐานในคดีปรากฏว่า การทุจิตในการจัดซื้อที่ดินในครั้งนี้มีการกระทำกันเป็นขบวนการได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย จำเลยที่ ๑ และนายวิทยาอาจคิดว่าการให้จำเลยที่ ๑ และนายพีระไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งห่างจากเมืองพัทยา คงกลบกระแสการเคลื่อนไหวของเงินจากการขายที่ดินได้ และที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์อีกว่า การจัดซื้อที่ดินได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการหลายคณะ ผ่านความเห็นชอบจากสภาเมืองพัทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กรมการปกครองและสำนักงบประมาณเป็นขั้นตอนสุดท้าย นายวิทยาจึงไม่มีอำนาจอนุมัติการจัดซื้อโดยลำพังนั้น เห็นว่า การจัดซื้อจัดจ้างโดยคณะกรรมการและต้องผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานบังคับบัญชานั้น มิใช่สิ่งยืนยันว่าจะไม่เกิดการทุจริตแต่อย่างใด เพราะการทุจริตคอรัปชั่นในการจัดซื้อจัดจ้างในระดับชาติที่ปรากฏอยู่เสมอๆก็ล้วนแต่เป็นการจัดซื้อจัดจ้างในรูปของคณะกรรมการและต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานบังคับบัญชาทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจัดซื้อที่ดินในครั้งเกิดเหตุนี้ คณะกรรมการ ๓ ชุด ตามที่อ้างก็ล้วนแต่งตั้งจากข้าราชการของเมืองพัทยาเกือบทั้งหมด ยกเว้นจำเลยที่ ๕ ที่เป็นบุคคลจากหน่วยงานภายนอก ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตามที่ปรากฏก็ล้วนส่อพิรุธ ส่วนหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจอนุมัติก็ล้วนแต่ได้รับข้อมูลเท็จเกี่ยวกับราคาที่ดินที่จำเลยที่ ๕ จัดทำเสนอเมืองพัทยา จึงไม่อาจอ้างการพิจารณาของคณะกรรมการและหน่วยงานที่อนุมัติการจัดซื้อมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดในเมื่อหลักฐานโจทก์ปรากฏชัดว่านายวิทยากับจำเลยที่ ๔ และพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดในการจัดซื้อที่ดิน ครั้งเกิดเหตุนี้ ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องข้ออื่นมาฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามคำฟ้อง ข้อ (ข) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับคำฟ้องข้อ (ข) เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ รวม ๒กระทง คือคำฟ้องข้อ (ข) โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๔และนายวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ ส่วนคำฟ้องข้อ (ค)โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยความผิดทั้งสองข้อหาของจำเลยที่ ๑ ไปพร้อมกันแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า นายพีระเป็นเพียงเครื่องมือในการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑และสรุปในตอนท้ายว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดทั้งสองกระทง การจะฟังว่าจำเลยที่ ๑กระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านายพีระเป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ในการขายที่ดินให้แก่เมืองพัทยาย่อมเป็นประเด็นสำคัญของความผิดทั้งสองฐานและเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกัน จึงสามารถนำมาวินิจฉัยความผิดทั้งสองข้อหาของจำเลยที่ ๑ไปพร้อมกันได้ กล่าวคือ ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามคำฟ้องข้อ (ข) นั้น โจทก์บรรยายการกระทำที่เป็นการสนับสนุนรวม ๓ประการ ประการแรก คือ ร่วมกันดำเนินการให้นายพีระไปติดต่อซื้อที่ดินพิพาทจาก บริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.คอปโปเรชั่น จำกัด การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงจำต้องพิจารณาว่านายพีระเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์นำสืบหรือไม่ ส่วนข้อหาให้สินบนแก่นายวิทยาตามคำฟ้องข้อ (ค) นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านายพีระเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ก็เป็นข้อที่สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยาหรือไม่เช่นกันเพราะถ้าฟังว่านายพีระมิใช่ตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ย่อมไม่มีเหตุที่จำเลยที่ ๑ ต้องให้ทรัพย์สินแก่นายวิทยา คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในกรณีดังกล่าวจึงชอบแล้ว
อนึ่ง ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓และที่ ๔ อุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ทางพิจารณาได้ความที่ดินอยู่นอกเขตป่าอันเป็นการแตกต่างจากฟ้อง ศาลต้องพิจารณายกฟ้อง และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยว่า ที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนการพิจารณานั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อ (ก) บรรยายว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และนายวิทยารู้อยู่แล้วว่าที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และรู้อยู่แล้วว่านายพีระซื้อมาในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แต่ได้ร่วมกันให้เมืองพัทยาซื้อที่ดินของนายพีระในราคาไร่ละ๖๖๘,๐๐๐บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงมากอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต จะเห็นได้ว่าคำฟ้องอ้างเหตุ ๒ ประการ คือ ที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติกับที่ดินมีราคาต่ำเพียงไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แต่เมืองพัทยารับซื้อในราคาสูงเกินจริงมาก เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินนายพีระมีราคาท้องตลาดไร่ละ ๕๐,๐๐๐บาท แต่จำเลยที่ ๔และที่ ๕ ร่วมกับนายวิทยาซึ่งมีหน้าที่จัดซื้อได้ดำเนินการจัดซื้อในราคาไร่ละ๖๖๘,๐๐๐บาท โดยทุจริตเช่นนี้ ย่อมฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวกับนายวิทยาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๗ แล้ว ดังนั้นปัญหาว่า ที่ดินของนายพีระตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓และที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ ๑ แลที่ ๔ อุทธรณ์ว่าได้ความจากนายไพรัช สุทธิธำรงสวัสดิ์ นายกเมืองพัทยา พยานจำเลยและนายชวลิต เจริญยรรยง นายช่างสำรวจของเมืองพัทยาพยานโจทก์ว่า ปัจจุบันเมืองพัทยาได้ใช้ที่ดินที่จัดซื้อจากนายพีระเป็นที่ทิ้งขยะแล้ว และนายบุญเลิศ โรจนาลักษณ์ พยานโจทก์ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยาหลังเกิดเหตุได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า สภาเมืองพัทยามีมติว่าเมืองพัทยาไม่ได้รับความเสียหาย ตามคำให้การเอกสารหมาย จ.๒๐๖ จึงต้องฟังว่าการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้มิได้เกิดความเสียหายแก่รัฐนั้น เห็นว่า แม้ปัจจุบันเมืองพัทยาได้ใช้ที่ดินที่จัดซื้อจากนายพีระเป็นที่ทิ้งขยะแล้ว แต่การที่เมืองพัทยาต้องจัดซื้อที่ดินในราคาแพงกว่าท้องตลาดถึง ๑๐ กว่าเท่าตัว จะไม่เรียกว่าเสียหายได้อย่างไร ส่วนที่นายบุญเลิศ ให้การชั้นสอบสวนว่า สภาเมืองพัทยามีมติว่าเมืองพัทยาไม่ได้รับความเสียหายนั้นก็เป็นที่เห็นได้ว่า ภายหลังเกิดเหตุมีความพยายามดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำการทุจริตในการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ทุกวิถีทาง ดังจะเห็นได้ว่าพลตำรวจโทเสรีต้องมีหนังสือด่วนที่สุดถึงปลัดเมืองพัทยาให้ร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดในกรณีนี้ถึง ๓ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๑ถึง จ.๓ เมืองพัทยาจึงได้มอบอำนาจให้นิติกรมาร้องทุกข์ โดยในขณะนั้นมีนายบุญเลิศเป็นปลัดเมืองพัทยา ซึ่งก็ได้ความจากคำของนายบุญเลิศว่า หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าหากนายบุญเลิศยังไม่ไปร้องทุกข์ เจ้าพนักงานตำรวจจะดำเนินคดีแก่นายบุญเลิศในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนนายบุญเลิศตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑และที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประการสุดท้ายที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ เคยมีข้อพิพาทเรื่องที่ดินและเคยถูกพลตำรวจโทเสรีฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท แต่ศาลพิพากษายกฟ้องทั้งพลตำรวจโทเสรีเข้าใจว่าจำเลยที่ ๑ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พลตำรวจโทเสรีย้ายจากจังหวัดชลบุรีนั้น เห็นว่า การทุจริตจัดซื้อที่ดินในครั้งนี้มีหลายขั้นตอนข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ปรากฏจากเอกสารการจัดซื้อ ส่วนพยานบุคคลบางปากที่ให้การในชั้นสอบสวน แต่กลับคำให้การในชั้นพิจารณานั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่อ้างในการกลับคำแล้วก็ขัดต่อเหตุผล คดีนี้ศาลฟังว่าลงโทษจำเลยก็โดยอาศัยพยานเอกสารและพยานบุคคลประกอบกัน โดยลักษณะแห่งคดี พนักงานสอบสวนย่อมยากที่จะกลั่นแกล้งได้ อีกทั้งจำเลยที่ ๑ เองก็เป็นผู้มีสถานภาพทางสังคมสูง พลตำรวจโทเสรีหรือพนักงานสอบสวนคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะกลั่นแกล้งปรักปรำฝ่ายจำเลย ลำพังสาเหตุโกรธเคืองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับพลตำรวจโทเสรีจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟัง หักล้างพยานโจทก์ได้ สรุปแล้วอุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ กับมาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ และจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๑๔๔ อีกกระทงหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ ๓ มีความผิดตามมาตรา ๒๖๗ ประกอบมาตรา ๘๔ อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ ๓ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖ ซึ่งเป็นลงโทษที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๓ปี ๔ เดือน จำเลยที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ให้จำคุก ๓ ปี การกระทำของจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ กับความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ส่วนกำหนดลงโทษของจำเลยที่ ๑ และนอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
................................................................
นายศรีอัมพร สาลิคุปต์
นายจักร อุตตโม
นายวันชัย ศศิโรจน์
นายวิชา มหาคุณ
นายวิเชียร มงคล
นายเกษม เวชศิลป์
*ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ( ๒มีนาคม ๒๕๔๗ ) สำนักงานศาลยุติธรรม.


