ศูนย์ข่าวศรีราชา - ที่ดินเมืองพัทยาขยับราคาแล้วไม่ต่ำกว่า 70% รับทุน ไทย-ต่างชาติ ทั้งท้องถิ่นและส่วนกลางที่แห่กว้านซื้อผุดโครงการที่อยู่อาศัย-ห้างสรรพสินค้า “เซ็นทรัลพัฒนา” ขายที่ดินแปลงใหญ่ติดทะเล มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ให้นักลงทุนท้องถิ่นสร้างโรงแรมขนาด 1,200 ห้อง และโยกเงินไปซื้อที่ดินผืนใหญ่ตรงข้าม สภ.ต.พัทยา ขึ้นห้างฯยักษ์ครบวงจร ด้านกลุ่มไมค์ชอปปิ้งมอลล์ ไม่น้อยหน้า กว้านซื้อที่ดินจากกรมบังคับคดี ผุดโรงแรมรับการเติบโตธุรกิจท่องเที่ยวและการเข้าพัก หลังสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้
นายสุรัตน์ เมฆะวรากุล ประธานกรรมการบริหารห้างสรรพสินค้าไมค์ ชอปปิ้งมอลล์ พัทยา และผู้บริหารโรงแรมในเครือไมค์ 4 แห่ง เผยถึงความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการซื้อ-ขายที่ดินในเมืองพัทยา นับจากปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ว่า แม้ว่าการซื้อ-ขายที่ดินโดยรวมของ จ.ชลบุรี มีแนวโน้มจะชะลอตัวลง แต่เมืองพัทยายังมีการเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งของประเทศ ที่มีการซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโรงแรม รับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ทั้งนี้ ราคาซื้อ-ขายที่ดินในเมืองพัทยา ปัจจุบันเฉพาะพื้นที่ไม่ติดทะเลขณะนี้ขยับตัวแล้วไม่น้อยกว่า 70% (ราคาประเมินเบื้องต้น ที่ดินไม่ติดทะเลในเขต อ.บางละมุง อยู่ที่ตารางวาละ 1 แสนบาท) ส่วนที่ดินติดชายทะเลโตถึง 100% (ราคาปัจจุบันยังประเมินไม่ได้)
การซื้อขายที่ดินส่วนใหญ่ในเมืองพัทยา ไม่ใช่เป็นไปเพื่อเก็งกำไรเช่นในอดีต แต่เป็นการซื้อ-ขายเพื่อขึ้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยนักลงทุนต่างชาติ ทั้งโรงแรมและห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีการลงทุนทั้งในกลุ่มนักลงทุนท้องถิ่นและส่วนกลาง
อาทิ เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ได้ขายที่ดินแปลงใหญ่ติดกับโรงแรมทรอปิคคาน่าให้กับ นายสุวัจชัย อัญชลีวิวัฒน์ ราชาที่ดินรายใหญ่และเจ้าของโรงแรมลอง บีช พัทยา มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท โดย นายสุวัจชัย ได้เตรียมพัฒนาที่ดินผืนนี้สำหรับก่อสร้างโรงแรมขนาด 1,200 ห้อง ขณะเดียวกัน ยังเตรียมที่ดินอีกผืนเพื่อผุดโรงแรมแห่งใหม่ขนาด 700 ห้องอีกด้วย
ในช่วง 2 ปีก่อน นายสุวัจชัย อัญชลีวิวัฒน์ ได้ขายโรงแรมการ์เด้นบีช รีสอร์ต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณซอยวงศ์อำมาตย์ ถนนพัทยา-นาเกลือ ให้กลุ่มไพโอเนียร์ ฮ็อสพิทัลลิทิ สยาม (จีบีอาร์) จำกัด นักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากการร่วมทุน ระหว่างนักธุรกิจจากประเทศฮ่องกงและประเทศไทย มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโรงแรมไอศวรรย์ รีสอร์ท แอนด์สปา ที่มีจุดขายที่ความเป็นชายหาดส่วนตัว
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา หลังขายที่ดินให้แก่ นายสุวัจชัย ได้กว้านซื้อที่ดินผืนใหญ่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรตำบลพัทยา (สภ.ต.พัทยา) เพื่อก่อสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และก่อนหน้านี้ ช่วงปลายปี 2548 ได้ทุบโรงแรมเซ็นทรัลวงศ์อำมาตย์ เพื่อขึ้นโรงแรมขนาด 5 ดาวที่พร้อมจะเปิดให้บริการในปี 2550
“ในปีนี้เม็ดเงินเกี่ยวกับการซื้อ-ขายที่ดิน จะสะพัดในเมืองพัทยาอีกมาก เพราะโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่จะเกิดใหม่มีอีกเยอะ ตอนนี้ราคาขายพื้นที่ของคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่เมืองพัทยา คือ มีราคาขายสูงสุดที่ตารางเมตรละ 6 หมื่นบาท เปรียบเทียบกับราคาขายสูงสุดในช่วงก่อนยุคฟองสบู่แตก ที่มีราคาขายสูงสุดเพียง 7.5 พันบาทต่อตารางเมตร”
นายสุรัตน์ ยังเผยถึงการเข้ามาของกลุ่มทุนต่างชาติ ในเมืองพัทยา ว่า ขณะนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเปิดเสรีให้ต่างชาติมีสิทธิถือหุ้นเพิ่มถึง 40% ทำให้ต่างชาติหันมาซื้อที่ดินในเมืองพัทยาเพื่อก่อสร้างที่พักอาศัยขายให้กับชาวต่างชาติด้วยกัน ในลักษณะการร่วมทุนกับคนไทย ซึ่งกลุ่มชาวต่างชาติถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากที่สุด
ทั้งนี้ การเติบโตทางการลงทุนของเมืองพัทยา คาดว่า จะอยู่ได้อีกประมาณ 5 ปี เพราะขณะนี้ที่ดินสำหรับการก่อสร้างในเมืองพัทยาเริ่มหมดแล้ว และหลังจากนี้ไป เมืองพัทยา จะกลายเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ เพราะสาธารณูปโภคต่างๆ โตไม่ทันรองรับการเกิดขึ้นของโครงการจำนวนมาก
“การเข้ามาของทุนส่วนกลางและทุนต่างชาติ เป็นการเข้ามาลงทุนเพื่อขึ้นโครงการใหญ่ๆ ในส่วนของกลุ่มไมค์เอง เราก็ซื้อที่ดินในส่วนของกรมบังคับคดีไว้ เพื่อก่อสร้างโรงแรมขนาดกลาง รองรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง ที่จะมาพร้อมการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทุนทั้งส่วนกลางและต่างชาติ เข้ามาในพัทยาเยอะ ก็เพราะเขาเห็นถึงการเติบโตของเมืองที่จะมาพร้อมกับสนามบิน ก็เลยเข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ไว้ก่อน”
สำหรับการอยู่รอดของกลุ่มทุนขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนท้องถิ่นในพัทยาขณะนี้ อาจได้รับผลกระทบจากการเข้ามาแชร์ตลาดของทุนต่างถิ่นไม่มากก็น้อย ทางรอดที่ดี คือ การมองเป้าหมายใหม่ทางการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลือกลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก
กลุ่มซันไชน์ กรุ๊ป ของตระกูลศุภรสหัสรังษี เป็นอีกกลุ่มทุนท้องถิ่นที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง และได้ทุ่มงบประมาณปรับปรุงโรงแรม ในเครืออย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการแข่งขันในธุรกิจโรงแรม ที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ล่าสุด ได้ทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่ปรับปรุงโรงแรมโลมา รีสอร์ต ให้กลายเป็นรีสอร์ตกึ่งสปา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มรักษ์สุขภาพ และกรุ๊ปนักบิน และพนักงานบริการบนเครื่องบินของสายการบินต่างชาติ ที่ขณะนี้เริ่มเลือกโรงแรมในเมืองพัทยาเป็นจุดพักการเดินทาง แทนโรงแรมในกรุงเทพฯแล้ว ขณะเดียวกัน ทุนกลุ่มนี้ยังกว้านซื้อที่ดินในหลายพื้นที่ เพื่อเก็บสำหรับพัฒนาและลงทุนต่อๆ ไปอีกด้วย