ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – นักวิชาการอิสระเสนอผลวิจัย “เวียงเจ็ดลิน” เชิงดอยสุเทพ ระบุเป็นเมืองรูปวงกลมอายุเก่ากว่า 10,000 ปี หนึ่งในไม่กี่แห่งในโลก และคาดว่าเป็นต้นกำเนิดชาติพันธุ์ “ลัวะ” คนพื้นเมืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ล้านนา-สร้างเมืองเชียงใหม่ แต่ปัจจุบันถูกละเลยจนหลักฐานทางโบราณคดีถูกทำลายล้าง เตรียมขอให้กรมศิลปากรเข้ามาดูแล พร้อมยื่นศาลปกครองขอคำสั่งคุ้มครองห้ามมีการโครงการพัฒนาจนกว่าจะมีการศึกษาอย่างละเอียด เผยเป้าหมายหวังผลักดันเป็นมรดกโลก
ที่สถานบริการวิชาการนานาชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิทยาลัยการจัดการทางสังคม ได้จัดการแถลงข่าวนำเสนอผลการวิจัย “เวียงเจ็ดลิน ปฐมอาณาจักรโบราณแห่งล้านนา” ของนายปฐมภูมิ วรรณาวงค์ นักวิจัยอิสระ เพื่อนำเสนอข้อมูลการศึกษาขั้นต้น ที่ระบุถึงคุณค่าและความสำคัญของเวียงเจ็ดลิน ว่าเป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ล้านนา แต่กลับไม่ได้รับการใส่ใจบูรณะจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ
รวมทั้งแนวทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ กลับมีแนวทางพัฒนาที่จะมีการดำเนินโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่โบราณสถานแห่งนี้ โดยเฉพาะโครงการปรับปรุงถนนขึ้นดอยสุเทพช่วงผ่านหน้า บริเวณลานครูบาศรีวิชัย ด้วยการตัดถนนเบี่ยงจากแนวเดิมเข้าไปในพื้นที่ของศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์ เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบริเวณลานครูบาศรีวิชัย
นายปฐมภูมิ วรรณาวงค์ นักวิจัยที่ทำการศึกษาหลักฐานประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเวียงเจ็ดลิน กล่าวว่า จากการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับเวียงเจ็ดลินด้วยตัวเองมานานกว่า 30 ปี มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า เวียงเจ็ดลินสร้างขึ้นด้วยชนเผ่าลัวะ ที่เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมก่อนที่จะมีการสถาปนาอาณาจักรล้านนา เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นวงกลมเรขาคณิต เส้นผ่านศูนย์กลางรัศมีโดยรอบ 500 เมตร มีกำแพงเมืองสองชั้น ระหว่างกำแพงมีคูน้ำอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นลักษณะการสร้างเมืองที่พบเพียงไม่กี่แห่งในโลกเท่านั้น
สันนิษฐานว่าเวียงเจ็ดลินมีอายุมากกว่า 500 ปีเท่าที่มีการบันทึกไว้เท่านั้น เพราะตามบันทึกดังกล่าวเป็นบันทึกในช่วงที่เป็นการสร้างเมืองใหม่ทับไปบนพื้นที่เมืองเดิม ทั้งนี้เชื่อว่าเวียงเจ็ดลิน น่าจะมีอายุกว่า 10,000 ปี เนื่องจากมีหลักฐานเป็นโครงกระดูกมนุษย์อายุประมาณ 28,000 ปี ที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง ซึ่งเป็นหลักฐานว่าในช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในดินแดนล้านนาแล้ว รวมทั้งที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ-ปุย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเวียงเจ็ดลินด้วย จึงทำให้เวียงเจ็ดลินยิ่งมีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการเป็นแหล่งกำเนิดรากเหง้าของชาติพันธุ์ของชนเผ่าลัวะ
“การสร้างเวียงเจ็ดลินในครั้งแรก สันนิษฐานว่าอาจจะไม่ได้เพื่อเป็นเมืองให้คนอยู่อาศัยแต่เพื่อเป็นสถานที่บูชาเทพเจ้า เหมือนกับเมืองโบราณที่มีลักษณะเดียวกันนี้ที่มีกระจายอยู่หลายแห่งทั่วโลก หรือบางครั้งอาจจะใช้เป็นสุสานบรรพบุรุษก็เป็นได้ เพราะตามประวัติศาสตร์
จากหลักฐานเป็นสุสานของชนเผ่าลัวะที่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าชนเผ่าลัวะจะสร้างสุสานเพื่อบูชาบรรพบุรุษเป็นลักษณะวงกลมแบบเดียวกันนี้ ทั้งนี้มั่นใจว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีอายุเก่าแก่มากควรค่าแก่การอนุรักษ์ฟื้นฟู อย่างไรก็ตามยอมรับว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดต่อไป เพื่อให้มีข้อมูลหลักฐานยืนยันความสำคัญของเมืองแห่งนี้”นายปฐมภูมิ กล่าว
นอกจากนี้นายปฐมภูมิ แสดงความเห็นว่า เนื่องจากปัจจุบันสภาพพื้นที่ของเวียงเจ็ดลินที่เป็นเมืองโบราณอายุเก่าแก่ได้ถูกทำลายไปมากแล้ว และยังจะมีโครงการพัฒนา เข้ามาดำเนินการในพื้นที่นี้อีกในอนาคตอันใกล้นี้ เช่น โครงการก่อสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพแนวใหม่ เป็นต้น ทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่า อาจจะกลายเป็นการทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งเป็นการทำลายหลักฐานต้นกำเนิดทางชาติพันธุ์ของชนเผ่าลัวะที่เป็นชนเผ่าดั้งเดิม ก่อนที่จะมีการสร้างเมืองเชียงใหม่ด้วย
ดังนั้น จึงต้องการจะให้มีการทบทวนโครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะมีการดำเนินการในพื้นที่บริเวณนี้ ในเบื้องต้นจะมีการทำหนังสือแจ้งไปยังกรมศิลปากร ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบโดยตรง ขอให้เข้ามาศึกษาข้อมูลหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์อย่างละเอียดของโบราณสถานแห่งนี้ หากไม่ได้รับความสนใจ จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเกี่ยวกับปฏิบัติหน้าที่
ขณะเดียวกันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนา ที่จะเข้าในพื้นที่นี้ ก็จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำสั่งยุติ หรือชะลอโครงการต่างๆ ที่จะเข้ามาไปจนกว่า จะมีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางโบราณคดีในบริเวณเมืองเก่าแห่งนี้อย่างชัดเจนเสียก่อน รวมทั้งจะมีการยื่นเรื่องไปยังทางยูเนสโกเพื่อผลักดันให้เวียงเจ็ดลินเป็นมรดกโลกด้วย
“ยอมรับว่าเป้าหมายสูงสุด ของการศึกษาเกี่ยวกับเวียงเจ็ดลิน อยู่ที่การผลักดันให้เมืองโบราณแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก เพราะเห็นว่าเมืองแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการเป็นต้นกำเนิดของชาติพันธุ์ ตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีอาณาจักรล้านนา
รวมทั้งมีลักษณะการสร้างเมืองเป็นวงกลม ที่สอดคล้องกับเหมือนเมืองโบราณอีกหลายแห่งทั่วโลกด้วย ถึงตอนนี้ยังเป็นการศึกษาเบื้องต้นอยู่ แต่จะทำการศึกษาให้ได้ข้อมูลหลักฐาน ที่ชัดเจนละเอียดกว่านี้อีกระยะหนึ่ง จากนั้นจะทำเรื่องเสนอไปยังยูเนสโก เพื่อขอให้พิจารณาผลักดันเวียงเจ็ดลินเป็นมรดกโลก คาดว่าอย่างเร็วที่สุดประมาณ 6 เดือนนับจากนี้ น่าจะยื่นเรื่องดังกล่าวให้กับยูเนสโกได้” นายปฐมภูมิ กล่าว
ขณะที่นายสวิง ตันอุด ผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการทางสังคม(ภาคเหนือ) กล่าวว่า การที่ทางวิทยาลัยการจัดการทางสังคมสนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเวียงเจ็ดลิน เพราะเห็นว่าพื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญอย่างสูงในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้รับการดูแลรักษาเท่าที่ควร และปัจจุบันยังถูกเข้าไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ อย่างมาก จนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ถูกทำลายล้างลงไป จึงต้องการจะกระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคนทั่วไปได้รับรู้ถึงความสำคัญของเมืองโบราณแห่งนี้ และช่วยกันบูรณะฟื้นฟูให้คงอยู่ในสภาพที่ดี
เบื้องต้นเตรียมจะหาทางยับยั้งโครงการพัฒนา ที่จะเข้ามาดำเนินการในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน เพื่อให้มีการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดเสียก่อน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการสืบค้นหลักฐานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองโบราณแห่งนี้อย่างเป็นทางการมาก่อน ทั้งนี้จะมีการทำหนังสือถึงกรมศิลปากรให้เข้ามาดูแล พร้อมทั้งจะยื่นต่อศาลปกครอง ขอให้มีคำสั่งชะลอการพัฒนาทุกโครงการในพื้นที่เวียงเจ็ดลินจนกว่าจะมีการศึกษาสืบค้นทางประวัติศาสตร์อย่างละเอียด
สำหรับเวียงเจ็ดลิน ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ปัจจุบันถูกถนนห้วยแก้วตัดผ่านแบ่งออกเป็นสองส่วน ถูกใช้พื้นที่สร้างเป็นสถานที่ราชการต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยราชมงคลวิทยาเขตล้านนาภาคพายัพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สวนสัตว์เชียงใหม่ ศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์ สถานีวิจัยโคนม สถานีตำรวจภูธรตำบลภูพิงคราชนิเวศ เป็นต้น