ศูนย์ข่าวศรีราชา - 176 รถดับเพลิง กทม.ยังตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง ศุลกากรยันต้องจ่ายภาษี 1,200 ล้านบาท หรือวางเงินสด-หนังสือค้ำประกันจากธนาคารเท่านั้น จึงจะปล่อยออกจากท่าเรือได้
วันนี้ (30 ม.ค.) เวลา 11.30 น. นายสมชาย กัณฐัศแก้ว ผู้อำนวยการส่วนบริหารกลาง สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ได้เดินทางพร้อมเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน ไปตรวจสอบรถดับเพลิงของกรุงเทพฯ จำนวน 176 คัน ที่จอดอยู่ที่ท่าเรือ A5 ท่าเรือแหลมฉบัง โดยมีรถดับเพลิงจำนวน 2 แบบ คือ แบบ 4 ล้อ สีเหลืองพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิงครบครัน และ แบบ 6 ล้อ สีแดงและสีเหลือง มีอุปกรณ์ครบครัน
สำหรับรถดับเพลิงดังกล่าว มาถึงเมื่อวันที่ 27 ม.ค.2549 ตั้งแต่เวลา 06.36 น. โดยเรือ M.V."CAPRICORNUS LEADER” V.13 จากรัฐ ZEEBRUGGE ประเทศเยอรมนี โดยหลังที่ลงรถดับเพลิงเสร็จเรือลำดังกล่าวได้ออกจากท่าเรือแหลมฉบัง ในเวลา 14.18 น.
ผู้อำนวยการส่วนบริหารกลาง สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า รถดับเพลิงดังกล่าว ทางปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ทำหนังสือลงวันที่ 14 ธ.ค.2548 ถึงอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อขอนำสินค้าเข้ามาก่อน เพราะกรุงเทพฯ ยังไม่มีเงินจ่ายภาษี ซึ่งรวมทั้งหมดเป็นเงิน 1,200 ล้านบาท ซึ่งทางด่านศุลกากรได้ทำหนังสือตอบกลับในวันที่ 17 ม.ค.2549 ที่ผ่านมา ถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยขณะนี้ยังไม่สามารถนำรถดับเพลิงออกไปก่อนได้ เนื่องจากพระราชกำหนด ( พ.ร.ก.) พิกัดอัตราศุลกากรกำหนดให้ต้องวางเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ที่มีมูลค่าเท่ากับเงินภาษีที่ต้องชำระไว้ ถึงจะนำสินค้าออกไปได้
รถดับเพลิงยังจอดอยู่ที่ท่าเรือ A5 และอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานการนำเข้า และจำนวนรถทั้งหมด ส่วนจะมีปัญหาอะไรนั้นทางด่านศุลกากรแหลมฉบังไม่ทราบ โดยเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของพิธีการศุลกากรอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหากตรวจสอบและดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอน ก็สามารถนำรถดังกล่าวออกไปได้ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจเช็กสินค้าเท่านั้น
สำหรับโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงดังกล่าว เป็นของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) กทม. มีมูลค่า 6,700 ล้านบาท เป็นรถนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการฮั้วประมูล และมีการเปลี่ยนแปลงสเปก โดยพบว่ามีการสั่งรถที่ผลิตภายในประเทศ มีราคารวมภาษีแล้วคันละ 7.4 แสนบาท หากติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงครบชุดจะมีราคาไม่เกินคันละ 2 ล้านบาท แต่ตามสเปกต้องได้มาตรฐานการผลิตในยุโรป ซึ่งจะทำให้มีส่วนต่างในด้านราคาถึงคันละ 4.8 ล้านบาทจากราคารวมภาษีนำเข้าจากต่างประเทศคันละ 6.8 ล้านบาทนั้น
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวชี้แจงเรื่องนี้ว่า ตนได้มอบหมายให้ นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม.และ สปภ.ไปรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาชี้แจงต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บริหาร กทม.ชุดก่อนหน้านี้ ซึ่งหลังจากที่ตนเข้ามารับตำแหน่งก็ได้มีการตรวจสอบขั้นตอนตามสัญญาการเปิด LC มีการส่งเรื่องไปให้กระทรวงมหาดไทย ทบทวนหลายครั้ง แต่ทางมหาดไทยก็ยังยืนยันที่จะต้องดำเนินการตามสัญญาเพราะมีความผูกพันในระดับรัฐบาล เพราะมีการทำบาร์เตอร์เทรดต่อกัน จึงไม่อยากพูดอะไรจนกว่าการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น
“กทม.ยืนยันได้ทบทวนการเซ็นสัญญาหลายครั้ง แต่กระทรวงมหาดไทยก็ให้ทำตามสัญญาเดิม เพราะมีความผูกพันกับรัฐบาล ผมเคยประสานไปมหาดไทยก็ให้คำยืนยันว่าผูกพันในระดับรัฐบาลไม่ให้เปลี่ยนแปลง" นายอภิรักษ์ กล่าว