xs
xsm
sm
md
lg

เฮือกสุดท้ายของโรงเรียนเอกชนที่ “สุไหงโก-ลก”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไพรัช มิ่งขวัญ / กิ่งอ้อ เล่าฮง
ศูนย์ข่าวอิศรา,สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (www.tjanews.org)

ป้ายผ้าขนาดใหญ่มีข้อความระบุว่า“รับสมัครครู 3 อัตราสนใจติดต่อที่โรงเรียน ไม่เว้นวันหยุดราชการ” ยังคงถูกผูกติดไว้อย่างแน่นหนาหน้า “โรงเรียนบุณยลาภนฤมิตร” ตำบลปาเลมัส อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส มาเป็นเวลาหลายเดือน

แม้การเปิดภาคเรียนที่ 2 ของโรงเรียนต่าง ๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะผ่านพ้นมาร่วมสัปดาห์แล้ว แต่โรงเรียนเอกชนสายสามัญจำนวนทั้งสิ้น 7 แห่งในอำเภอสุไหงโก-ลกกลับมีบรรยากาศเงียบเหงา เด็กนักเรียนยังคงบางตาและลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเกือบๆ 2 ปีที่ผ่านมา

“ทุกวันนี้ยังหาครูไม่ได้เลย สถานการณ์แย่มากเกิดผลกระทบหมด รัฐบาลช่วยไม่เต็มที่ ไม่เหมือนโรงเรียนสอนศาสนา”

เป็นเสียงรำพึงของ นางสุแอนนา บุญครองเขต สาวใหญ่วัย 41 ปีผู้บริหารโรงเรียนบุณยลาภนฤมิตร ขณะสายตาทอดมองมายังสนามเด็กเล่นที่วันนี้ยังคงเงียบเหงาวังเวง

ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอสุไหงโก-ลก ถือเป็นพื้นที่หนึ่งที่กลุ่มคนร้ายมักจะลงมือซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เสมอ เหตุร้ายรายวันไม่เพียงสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับชาวบ้านทั่วไปอย่างเดียวเดียว แต่ยังส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจ ครูและนักเรียนอย่างต่อเนื่อง

“โรงเรียนนี้เปิดสอนตั้งแต่ชั้น อนุบาล 1– มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียนอยู่ 800 คนจำนวนนี้ 40 เปอร์เซ็นต์เป็นลูกหลานมุสลิม สวนที่เหลือเป็นเด็กไทยพุทธและลูกชาวจีนที่ค้าขายในเขตเทศบาล ที่ผ่านมามีเด็กไทยพุทธย้ายออกไปเรียนนอกพื้นที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายตามผู้ปกครองที่เป็นข้าราชการที่ขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่ไป อีกส่วนหนึ่งผู้ปกครองไม่มั่นใจในความปลอดภัยเลยส่งลูกหลานไปเรียนกันที่หาดใหญ่”เธอกล่าว

และย้ำว่า ความรุนแรงดังกล่าว ทำให้ชีวิตของครูทุกๆคนเปลี่ยนไปด้วยจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกครั้งก่อนจะออกจากโรงเรียนต้องมองหน้ามองหลังให้ดีว่ามีคนตามมาหรือไม่ เนื่องจากผ่านมาครูหลายรายถูกลอบติดตาม บางคนเกือบโดนระเบิดเสียชีวิต ส่งผลให้ครูในโรงเรียนทยอยลาออกไปทำงานในพื้นที่อื่น ส่วนครูที่ยังเหลืออยู่ต้องทำหน้าที่สอนแทนครูที่ลาออกไป

“ที่ผ่านมาติดป้ายรับสมัครครู แต่ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่ได้เลย”สาวใหญ่ผู้บริหารโรงเรียนบุณยลาภนฤมิตร กล่าวถึงผลกระทบ

นอกจากโรงเรียนเอกชนสายสามัญทั้ง 7 แห่งในอำเภอสุไหงโก-ลกคือ ร.ร.บุญยลาภนฤมิตร, ร.ร.อนุบาลบ้านสุชาดา, ร.ร.เกษมทรัพย์ ,ร.ร.ผดุงวิทย์, ร.ร.รังผึ้ง, ร.ร.วุฒิศาสตร์, ร.ร.ประชานุเคราะห์ จะประสบวิกฤตการณ์ขาดแคลนครูและเด็กนักเรียนลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องแล้ว

แต่ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังฉุดรั้งเศรษฐกิจในอำเภอสุไหงโก-ลก ซึ่งถือเป็นอำเภอศูนย์กลางของระบบธุรกิจและการพาณิชย์ที่ ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนราธิวาส ให้ซบเซาลงจนทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่ที่ติดตามมา

กล่าวคือ ผู้ปกครองไม่มีเงินจ่ายค่าบำรุงการศึกษา ทำให้ที่ผ่านมาโรงเรียนเอกชนสายสามัญหลายแห่งขาดทุนสะสมต่อเนื่องถึงขั้นมีแนวโน้มว่าอาจต้องแขวนป้ายปิดกิจการ

แม้ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับนักเรียนโรงเรียนเอกชนสายสามัญ 50 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณ 4,000 บาทต่อปีต่อนักเรียนหนึ่งคน แต่เงินอุดหนุนดังกล่าวยังคงไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย

“ผู้ปกครองส่วนหนึ่งก็นำบุตรหลานไปเข้าโรงเรียนรัฐบาล เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกกว่า ปัจจุบันโรงเรียนเอกชนสายสามัญมีค่าใช้จ่ายสูง เศรษฐกิจซบเซาทำให้โรงเรียนเกิดความลำบาก เด็กค้างค่าเล่าเรียน แต่ก็ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่โดยให้ผ่อนชำระค่าเล่าเรียนจนโรงเรียนเองก็ขาดทุน มีหนี้สูญเป็นแสนบาทแล้ว”ผู้อำนวยการโรงเรียนบุญยลาภฯกล่าว

และย้ำว่าสถานการณ์ขณะนี้เหมือนมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายต้องเกาะแน่นๆ หากแบกภาระขาดทุนไม่ไหวโรงเรียนเอกชนสายสามัญในอำเภอสุไหงโก-ลก หลายแห่งคงต้องปิดฉากลง

“ไม่ทราบว่าในอนาคตจะเป็นยังไง หากเด็กในพื้นที่ไม่มีโรงเรียนจะเรียน ดิฉันอยากให้รัฐบาลหันมามองพวกเราบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่อย่างนี้”นางสุแอนนาบอกด้วยน้ำเสียงเครียดๆ

ขณะที่ “โรงเรียนอนุบาลเกษมทรัพย์” ตำบลปาเลมัส อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ก็เป็นโรงเรียนเอกชนสายสามัญอีกหนึ่งแห่งที่กำลังประสบภาวะขาดทุนสะสมต่อเนื่องนับล้านบาท แต่ยังคงยืนหยัดเปิดกิจการเนื่องด้วยเชื่อว่าการศึกษาจะสร้างเยาวชนเพื่อนำความเจริญมาสู่ประเทศชาติในอนาคต

“ที่ผ่านมาโรงเรียนเอกชนสายสามัญทำให้ค่าเฉลี่ยการศึกษานักเรียนในอำเภอสุไหงโก-ลกดีขึ้น ถ้าไม่มีโรงเรียนเอกชนเด็กไทย-จีน จะไม่มีที่เรียน ตอนนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร” นายเดชา เกษมทรัพย์ ผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลเกษมทรัพย์ กล่าวถึงวิกฤตการณ์ของโรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลเกษมทรัพย์เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน 430 คน และในหลายๆเทอมที่ผ่านมาจำนวนนักเรียนได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครูก็ทยอยลาออก เฉกเช่นโรงเรียนเอกชนสายสามัญแห่งอื่นๆในอำเภอสุไหงโก-ลก

“บรรยากาศการเปิดเรียนวันแรกค่อนข้างเงียบเหงา หากโรงเรียนอยู่ได้ก็ดี แต่ถ้าอยู่ไม่ได้นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าระบบการศึกษาในอำเภอสุไหงโก-ลก กำลังจะพัง ซ้ำเติมปัญหาการศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้เรียนอย่างทั่วถึง จึงทำให้การศึกษาโดยเฉลี่ยของประชากรในพื้นที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ” นายเดชา ให้ความเห็น

ผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลเกษมทรัพย์ บอกว่า อยากให้รัฐบาลเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้โรงเรียนเอกชนสายสามัญในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เช่นนั้นในอนาคตอันใกล้โรงเรียนเอกชนสายสามัญหลายแห่งอาจต้องปิดกิจการลง

“วันนี้โรงเรียนเก็บค่าพัฒนาการศึกษาของนักเรียนเดือนละ 1,000 บาทต่อนักเรียนหนึ่งคนซึ่งเงินจำนวนนี้รวมถึงค่าพัฒนาการศึกษา ค่าอาหาร ค่ารถรับ-ส่ง หากรัฐบาลไม่เพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวเกรงว่าโรงเรียนหลายแห่งอาจตัดสินใจปิดกิจการ ถึงแม้เด็กจะอยากเรียนแต่อาจจะไม่มีครูสอน ที่ผ่านมาโรงเรียนต้องประหยัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง รถรับ-ส่งนักเรียนยังต้องข้ามไปเติมน้ำมันที่ฝั่งมาเลเซียเลยทุกวันนี้ไม่มีเด็กสมัครเข้ามาเรียน มีแต่ทรงกับทรุด ส่วนตัวอยากให้รัฐเข้ามาช่วยในเรื่องเงินอุดหนุนไม่เช่นนั้นคงแย่กันหมด”ผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลเกษมทรัพย์สรุปภาพที่เกิดขึ้น

ท่ามกลางลมหายใจอันรวยรินของโรงเรียนเอกชนสายสามัญในอำเภอสุไหงโกลก ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะมีเด็กมาเรียนและมีครูมาสอนหรือไม่ แต่แน่ๆก็คือ สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังจะลมหายใจของระบบการศึกษาเอกชนในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย!!!



กำลังโหลดความคิดเห็น