xs
xsm
sm
md
lg

คำตอบจากนศ.ไทย ทำไมต้องมาเรียนในมาเลย์?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวอิศรา,สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (www.tjanews.org)

เป็นที่รับรู้กันมาเนิ่นนานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย มองเยาวชนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศด้วยสายตาไม่ไว้วางใจนัก

แม้ว่าจะเป็นการไปศึกษาต่อถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำในตะวันออกกลาง เอเซียกลาง อินโดนีเซีย หรือประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับไทยอย่างมาเลเซียก็ตาม

ดังนั้นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศเหล่านี้ เมื่อหอบปริญญากลับสู่บ้านเกิด ก็มักจะถูกจับตามองจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าแต่ละคนถูกกล่อมเกลาแนวคิดและอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนมาเต็มสมอง

คนหนุ่มคนสาวจำนวนมากที่ทนรับแรงกดดันไม่ไหว จึงต้องละทิ้งบ้านเกิด ย้ายถิ่นฐานไปทำงานในต่างประเทศ ที่สำคัญคนเหล่านี้ล้วนมีความสามารถ ที่ไปได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในระดับมันสมองของประเทศเพื่อนบ้านก็มีไม่น้อย

กลายเป็นว่าเพียงเพราะความไม่เข้าใจ และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่าไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างเมื่อไม่นานมานี้ ก็เพิ่งมีข่าวทางสื่อมวลชนบางแขนงว่า สถาบันอุดมศึกษาชั้นนำบางแห่งในมาเลเซีย เป็นแหล่งฝึกอาวุธให้กับเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนจะถูกส่งกลับมาเพื่อก่อเหตุการณ์ความไม่สงบตามแผนสถาปนารัฐปัตตานี

ความรุนแรงของข้อกล่าวหา ถึงขั้นที่ว่าเมื่อกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ หรือ กอส.บางคน ได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนมาเลเซีย ยังไปขอพบปะเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับกลุ่มนักศึกษาจาก UIA หรือมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติมาเลเซีย เลยทีเดียว

คำถามบางคำถามจากกรรมการ กอส.ที่พุ่งเข้าใส่นักศึกษา ล้วนมาจากสมมติฐานของความไม่เข้าใจว่าทำไมเยาวชนมุสลิมจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงต้องระเห็จไปร่ำเรียนถึงในมาเลเซีย

ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เดินทางเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ถึงใน UIA เพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ข้องใจกันตลอดมา

“ผมมาเรียนต่อที่นี่ เพราะระบบการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ดีพอ ทำให้ผมไม่สามารถไปสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ของเมืองไทยได้” เป็นคำอธิบายจาก “นัน” หนุ่มน้อยวัย 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการของ UIA

นัน เล่าว่า เขาเกิดในครอบครัวมุสลิมที่เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติของศาสนาอิสลาม ตั้งแต่วัยเด็กเขาต้องเรียนศาสนาใน “ตาดีกา” ควบคู่ไปกับการเรียนภาคบังคับในโรงเรียนสายสามัญของรัฐ

ต่อมาเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ก็เข้าเรียนต่อในระดับมัธยมในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องเรียนทั้งวิชาสายสามัญและวิชาศาสนาแบบครึ่งต่อครึ่ง

“ผมพูดในนามตัวแทนของเด็กใน 3 จังหวัดได้เลยครับว่า การเรียนสายสามัญไปพร้อมๆ กับการเรียนศาสนาด้วยนั้น ทำให้ผมสอบแข่งขันสู้กับเด็กจากภาคอื่นไม่ไหว เพราะในวันหนึ่งๆ ผมต้องเรียนศาสนา 5 คาบในช่วงเช้า จากนั้นในช่วงบ่ายก็เรียนสายสามัญอีก 5 คาบ ซึ่งตอนนั้นสมองผมก็รับไม่ไหวแล้ว”

นัน เล่าว่า เด็กนักเรียนมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่จะเอ็นทรานซ์ไม่ติด นอกจากจะใช้สิทธิสอบโควตาเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) ดังนั้นจึงไม่ต้องไปฝันถึงมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศอย่างจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์

และเมื่อเอ็นทรานซ์ไม่ติด ชีวิตก็มีอีกเพียง 2 ทางเลือกเท่านั้น คือเข้ามหาวิทยาลัยเปิด หรือมหาวิทยาลัยเอกชน กับแพ็คกระเป๋าไปเรียนต่อต่างประเทศ

“คนที่จะไปเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนได้ พ่อแม่ก็ต้องมีฐานะพอสมควร เพราะค่าเทอมแพง ดังนั้นถ้าไม่มีทุนทรัพย์ ก็เหลือทางเลือกเดียวคือรามคำแหง แต่การไปอยู่กรุงเทพฯ ไปอยู่ไกลหูไกลตาทางบ้าน พ่อแม่ก็ไม่สบายใจอีก โดยเฉพาะครอบครัวมุสลิม จะกลัวมากว่าลูกจะออกนอกลู่นอกทาง ไม่ยอมละหมาด ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา”

นัน สรุปว่า การตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อยังมหาวิทยาลัยชั้นนำในมาเลเซีย อย่างเช่น UIA นั้น เป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุดสำหรับเด็กอย่างพวกเขา

“พวกผมรู้จัก UIA ก็เพราะมหาวิทยาลัยนี้ส่งอาจารย์ไปแนะแนวที่โรงเรียนหลายแห่งในเมืองไทย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ยังไปแนะแนวถึงกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ด้วย”

“ทุกคณะที่ UIA เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษทั้งหมด ฉะนั้นการมาเรียนที่นี่จึงได้ภาษาแน่นอน แถมยังใกล้บ้าน พ่อแม่ไปเยี่ยมได้บ่อยๆ ค่าเทอมก็พอๆ กับเอแบค แต่ถ้าจะไปไกลถึงอังกฤษ หรือออสเตรเลีย ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่านี้มาก”


ปัจจุบัน UIA ขึ้นแท่นเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำลำดับต้นๆ ของมาเลเซีย ตั้งอยู่บนที่ดินผืนงามนับพันไร่ติดเชิงเขาชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ เปิดการเรียนการสอน 9 สาขาวิชา ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ไอที กฎหมาย เศรษฐศาสตร์และการจัดการ มนุษยศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และอิสลามศึกษา

แรกก่อตั้ง UIA เมื่อ 20 กว่าปีก่อนนั้น ใช้ทุนก่อสร้างจากสมัชชาการประชุมอิสลาม หรือ โอไอซี ซึ่งเป็นองค์กรกลางของประเทศมุสลิมกว่า 50 ประเทศทั่วโลก การระดมทุนเป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามที่สอนให้ทุกคนบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า

และด้วยงบประมาณก้อนมหาศาล จึงสามารถเนรมิตให้สถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้งดงามยิ่งใหญ่สมฐานะการเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติของโลกมุสลิม โดยอาคารเรียนทุกหลังใน UIA ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันหมด หลังคามุงกระเบื้องสีฟ้าทั้งมหาวิทยาลัย มีมัสยิดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางเพื่อเป็นจุดศูนย์รวมของนักศึกษาทุกคน

ทุกวันเมื่อถึงเวลาละหมาด เสียงอาซานจะดังผ่านเครื่องขยายเสียงไปทั่วมหาวิทยาลัย นักศึกษากว่า 95% ซึ่งเป็นชาวมุสลิมจะทยอยกันเดินมาจากอาคารเรียน หอพัก หรือห้องสมุดเป็นทิวแถว เพื่อร่วมกันละหมาด

แต่เดิมการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อใน UIA จะเป็นระบบให้ทุนการศึกษาแก่เด็กมุสลิมที่ด้อยโอกาส โดยแบ่งโควต้าให้ประเทศต่างๆ ตามสัดส่วนประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะได้โควตาประมาณปีละ 20 คน

ต่อมา โอไอซี โอนมหาวิทยาลัยให้มาอยู่ในความดูแลของรัฐบาลมาเลเซีย จึงเปลี่ยนระบบมาเก็บค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาบางส่วนที่ครอบครัวมีทุนทรัพย์เพียงพอ ประกอบกับการออกไป คน “แนะแนว” หรือ “โรดโชว์”คน ในประเทศต่างๆ ทำให้ปัจจุบันนักศึกษาที่เข้ามาเรียนที่นี่ มีที่มาและฐานะหลากหลายกว่าเมื่อก่อนมาก

“เดี๋ยวนี้ลูกนักธุรกิจในกรุงเทพฯ ลูกนักการเมือง ลูกกำนันผู้ใหญ่บ้านใน 3 จังหวัด ก็มาเรียนที่นี่กันเต็มไปหมด เพราะเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติที่มีคุณภาพที่สุด และอยู่ใกล้เมืองไทยที่สุดแล้ว” นันบอก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่สงบที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ครอบครัวที่พอจะมีกำลังส่งเสีย นิยมส่งบุตรหลานมาเรียนที่ UIA กันมาก ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

“ในพื้นที่มีระเบิดแทบทุกวัน พ่อแม่ส่วนหนึ่งก็ไม่อยากให้ลูกเข้าไปเรียน มอ.ปัตตานีแล้ว ส่งมาเรียนที่นี่ดีกว่า แม้แต่แม่ผมเองยังบอกว่า เรียนจบปริญญาตรีแล้วไม่ต้องรีบกลับก็ได้ จะต่อปริญญาโทด้วยก็ดี เพราะแม่จะสบายใจกว่าผมกลับไปอยู่ที่บ้าน” นัน กล่าว

นอกจาก “นัน” เรายังได้พบกับ “ปัง” นักศึกษาปริญญาโทด้านกฎหมายของ UIA ซึ่งร่ำเรียนและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาเป็นปีที่ 2 แล้ว

ปัง ผ่านชีวิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในเมืองไทย จึงรับรู้ข้อจำกัดของเด็กมุสลิมที่เรียนในมหาวิทยาลัยเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

“มหาวิทยาลัยบ้านเรา นอกจาก มอ.ปัตตานี แล้ว แทบไม่มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อเด็กมุสลิมเลย” ปัง บอก และว่า “อย่างมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะมีคาบเรียนตอนเที่ยง เราก็ไม่สามารถไปละหมาดได้ตามเวลา หรือบางทีก็มีคาบเรียนตอนเย็นถึงค่ำ ซึ่งถ้าเป็นช่วงเดือนรอมฎอน เราก็ไม่สามารถไปเปิดบวช (ละศีลอดหลังพระอาทิตย์ตกดิน) ได้”

“สมมติเราเรียนๆ อยู่ แล้วยกมือขออาจารย์ไปเปิดบวช เราก็จะกลายเป็นตัวประหลาด แต่ถ้าเรียนที่ UIA แม้แต่อาจารย์ก็ต้องไปเปิดบวชเหมือนกัน มันก็เลยเป็นเรื่องปกติ” ปังเผยความรู้สึก

สำหรับกิจกรรมของกลุ่มนักศึกษาไทยใน UIA ซึ่งมีอยู่เกือบ 200 ชีวิตนั้น ปัง บอกว่า ก็มีการพบปะกันบ้างในวันสำคัญต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งที่นี่จะจัดเป็น “แฟมมิลี่ เดย์” นอกจากนั้นก็มีการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์

“แต่ที่ UIA จะไม่มีนโยบายให้นักศึกษาแต่ละประเทศแยกกันไปทำกิจกรรม แต่จะสนับสนุนให้นักศึกษาทุกคนจากทุกคณะทำกิจกรรมร่วมกันมากกว่า เพื่อความสามัคคี”

เมื่อถามถึงข่าวที่ระบุว่า สถาบันอุดมศึกษาบางแห่งในมาเลเซียเป็นแหล่งฝึกอาวุธให้กับเยาวชนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกลับไปก่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่นั้น ปรากฏว่าทั้ง “ปัง” และ “นัน” ต่างส่ายหน้า พร้อมกับยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

“ทุกคนมาศึกษาหาความรู้กันทั้งนั้นครับ และที่นี่ก็เรียนหนักด้วย ลองคิดดูว่าพ่อแม่อุตส่าห์เสียเงินส่งพวกเรามาเรียนเพื่อกลับไปก่อความไม่สงบหรือครับ ผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย” ปังกล่าว

ขณะที่ นัน เสริมว่า “เด็กวัยรุ่นในพื้นที่ที่ถูกชักจูงให้ไปก่อเหตุ ก็คงมีอยู่จริง แต่คงไม่ใช่กลุ่มที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย เพราะมันไม่คุ้มกันเลยที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาขนาดนี้ แล้วกลับไปทำอะไรอย่างนั้น”

นัน ยังตั้งข้อสังเกตว่า ข่าวคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ หลายๆ เรื่อง ดูจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง

“อย่างข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ก็บอกว่าเด็กที่ถูกชักจูงให้ไปเป็นแนวร่วม จะเป็นเด็กที่เคร่งศาสนา แล้วถูกปลูกฝังด้วยคำสอนที่บิดเบือน เพื่อให้ไปก่อเหตุรุนแรงต่างๆ แต่พอมีระเบิดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของคนไทยพุทธ ก็มีข่าวว่ามือระเบิดเข้าไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวก่อนจะเกิดเหตุ แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มุสลิมเคร่งศาสนาจะไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในร้านที่ไม่ฮาลาล”

ทั้งสองยังฝากถึงรัฐบาลว่า ขอให้เร่งสร้างความไว้วางใจกับประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะปมเงื่อนที่ทำให้ปัญหาแก้ไขได้ยาก ก็คือชาวบ้านไม่ให้ความไว้วางใจกับเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลมีนโยบายอะไร จึงไม่มีใครยอมรับและให้ความร่วมมือ

ถือเป็นการเรียกหาความไว้วางใจจากคนของภาครัฐที่ไม่เคยไว้วางใจพวกเขาเลย!


กำลังโหลดความคิดเห็น