ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
หากนับเวลาย้อนหลังไปเดือนตุลาคม 2547 มีเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันและสร้างความเศร้าสลด ความหวาดกลัว แก่ประชาชนทั่วไป และนิสิตนักศึกษาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เช้าวันที่ 9 ตุลาคม คนร้ายได้อุกอาจลอบยิง “นายดุษฎีบุญ ฤทธิสุนทร” บุตรชายของ พ.ต.อ.จักรภานุ ฤทธิสุนทร ผกก.สภอ.สิเกา จ.ตรัง ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิชาเอกการจัดการสารสนเทศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) เสียชีวิตในขณะขี่รถจักรยานยนต์ออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับหอพัก ซึ่งห่างจากรั้วหลัง มอ.ปัตตานีไปเพียง 300 เมตร
ในวินาทีชีวิต คนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ตามประกบยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นจำนวน 3 นัด กระสุนทะลุหมวกกันน็อกเจาะศีรษะล้มลงเสียชีวิตทันที โดยห่างจากป้อมยามเพียง 50 เมตร
หลักฐานสำคัญที่คนร้ายทิ้งไว้ใกล้ที่เกิดเหตุ คือ เอกสารแผ่นปลิว ข้อความสรุปว่า “ ถ้าจับนักศึกษาปอเนาะ เราจะฆ่านักศึกษา มอ.ปัตตานี”
ด้วยเหตุนี้ ประเด็นสังหารนักศึกษา มอ.ปัตตานีครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จึงให้น้ำหนักกับการสร้างสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของแนวร่วมโจรก่อการร้ายที่มีแกนนำสำคัญเป็นนักศึกษาอยู่ในรั้วเดียวกัน
ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่สามารถจับผู้ต้องสงสัยได้ 2 คน คือ “นายอับดุลเลาะ บากา” วัย 21 ปี และ “นายแวฮามิ เจ๊ะอาแซ” วัย 21 ปี ทั้งสองคนเป็นนักเรียน “ปอเนาะอีมารอฏตีนียะห์” ต.ปากาฮารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี พร้อมด้วยของกลางคือรถจักรยานยนต์
นอกจากนี้ ยังมีการขยายผลและตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในเขตอำเภอเมืองหลายจุด เช่น บ้านพักผู้ต้องสงสัยที่ ม.6 และ ม.7 ต.ปะกาฮารัง, ปอเนาะอีมารอฏตีนียะห์, และหอพักนักศึกษามุสลิมบ้านอิบนูอัฟฟาน ต.สะบารัง จนสามารถจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มได้อีก 1 คน คือ “นายกูอาหมัด อาบีเด็น” เด็กหนุ่มวัย 23 ปี นักเรียนในปอเนาะเดียวกัน
ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่า คนร้ายมีทั้งหมด 4 คน ผู้ต้องสงสัย 2 คนแรกเป็นคนดูต้นทางและทิ้งใบปลิว ส่วนนายกูอาหมัดเป็นคนลั่นปืนสังหาร ส่วนสุดท้ายคนที่ 4 คือผู้บงการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า คือ “นายซาการียา โต๊ะตาหยง” เด็กหนุ่มวัย 21 ปี จาก ต.ปะกาฮารัง ซึ่งยังจับกุมตัวไม่ได้
ไม่เฉพาะคดีสังหารนักศึกษาเท่านั้น เจ้าหน้าที่ยังระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร “นายรพินทร์ เรือนแก้ว” ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดปัตตานีด้วย เนื่องจากตรวจสอบพบว่ากระสุนปืนที่ยิงนายดุษฏีบุญ เป็นกระสุนที่มาจากปืนกระบอกเดียวกันกับที่ยิงนายรพินทร์
พ.ต.อ.สมจิตต์ นาสมยนต์ ผกก.สภอ.เมืองปัตตานี ในขณะนั้น เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาที่จับได้ 3 คน ซึ่งก่อเหตุยิงนักศึกษา มอ.ปัตตานี สารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง และจากการสอบสวนพบว่า นายแวฮามิ เจ๊ะอาแซ และนายอับดุลเลาะ บากา เป็นคนดูต้นทางพร้อมทั้งทิ้งใบปลิว
เขายังระบุต่อว่า นายกูอาหมัด อาบีเด็น จะรับหน้าที่เป็นมือปืนสังหาร มีนายซาการียา โต๊ะตาหยง เป็นคนขับรถจักรยานยนต์ สำหรับผู้สั่งการนั้น ผู้ต้องหาไม่ได้ซัดทอดชัดเจนว่าเป็นใคร แต่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าน่าจะเป็น “นายเจ๊ะอันวา กาซอ” ผู้ต้องหาคดีสังหาร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดปัตตานี ที่ถูกออกหมายจับไปแล้ว กำลังอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดี ทั้งนี้ เนื่องจาก “นายเจ๊ะอันวา” เป็นเพื่อนกับ “นายซาการียา” ผู้ต้องหาในคดีนี้
ความทั้งหมดสอดคล้องกับคำบอกเล่าของ นางแวเยาะ หะยีมิง มารดาของนายกูฮาหมัด หนึ่งในผู้ต้องหา ที่เปิดเผยภายหลังพบบุตรชายตนที่ห้องขัง สภอ.เมืองปัตตานีว่า ลูกชายตนรับว่าเป็นคนลงมือสังหารนักศึกษา มอ.ปัตตานีจริง โดยในวันเกิดเหตุเขาเล่าว่ามีเพื่อนมารับไป
คดีนี้ดูเหมือนว่าจะจบลงได้โดยง่าย ในเมื่อผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าทำจริง เป็นการง่ายมากที่จะเอาผิดกับผู้ต้องหา แต่ด้วยความเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกมากับมือที่รู้จักพฤติกรรมและสันดานของลูกดี นางแวเยาะจึงไม่เชื่อว่าบุตรชายจะเป็นคนสังหารจริง
เธอมองว่า พฤติกรรมที่ผ่านมา “นายกูฮาหมัด” ลูกชายของเธอเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนหนังสือที่ปอเนาะภายในหมู่บ้าน และคอยช่วยเหลือครอบครัวทำงานมาตลอด รวมทั้งญาติๆ เพื่อนบ้านในหมู่บ้านก็ไม่มีใครเชื่อ
“อย่าว่าแต่จะลั่นไกปืนยิงคนตาย ปืนของจริงยังไม่เคยได้จับได้เห็นเลย” ผู้เป็นแม่กล่าว
นางแวเยาะ จึงได้พยายามที่จะขอเข้าพบบุตรชายอีกครั้งเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของเธอสะท้อนผ่านคำให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาในชั้นศาลในเวลาต่อมา
30 ธันวาคม 2547 พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีได้ยื่นฟ้อง อับดุลเลาะ แวฮามิ และกูอาหมัด ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และมีอาวุธปืนครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คน กลับคำให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอประกันตัวในชั้นศาล โดยระบุว่า การรับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวนเป็นไปเพราะเกิดการบังคับจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวในเวลาต่อมา
หลังจากนั้น กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มีการนัดสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลยรวม 3 ครั้ง และพิพากษาในยกฟ้องในวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานที่เพียงพอ
“จากพยานหลักฐานที่โจทย์นำมาสืบมีข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ จำเป็นต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยทั้งสาม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรค 2 สำหรับรถจักรยานยนต์และโทรศัพท์มือถือไม่มีพยานหลักฐานบ่งชี้ชัดว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มา หรือได้มาโดยการกระทำความผิดที่ไม่รับ พิจารณายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยทั้งสามคนในระหว่างอุทธรณ์ คืนรถจักรยานยนต์และโทรศัพท์มือถือแก่เจ้าของ ส่วนของกลางอื่นให้ริบ” สำนวนยกฟ้องสรุปในตอนท้าย
นายสุรพล ปราโมทย์อนันต์ หนึ่งในทนายความของจำเลย เปิดเผยว่า การที่ศาลยกฟ้องคดีนี้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่พบว่าไม่สามารถเชื่อมโยงกับจำเลยได้ ในขณะที่ศาลเองก็ไม่เชื่อว่าพยานของโจทก์จะเห็นคนร้ายจริง
“คำสารภาพในชั้นจับกุมเป็นเพียงถ้อยคำรับสารภาพของผู้ถูกจับกุม ซึ่งกฎหมายไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ โจทก์ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบความ ซึ่งศาลอาจจะยังไม่แน่ใจว่าพยานของโจทก์ที่อ้างว่าจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยที่ 3 หรือไม่” นายสุรพลกล่าว
สำหรับ กูอาหมัด หนึ่งในผู้ต้องหา เปิดเผยภายหลังว่า แม้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาจะต้องอยู่อย่างลำบากใจ รองรับคำประณามว่าเป็นคนร้ายก็ต้องอดทนที่จะยืนยันว่าตนไม่ใช่คนร้ายและไม่ได้ยิงนักศึกษาแต่อย่างใด
“วันนี้ดีใจมากครับ ผมเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะคุ้มครองและศาลจะให้ความเป็นธรรม ในที่สุดศาลก็ยกฟ้อง ต่อจากนี้ก็จะต้องรอให้ครบ 1 เดือน ถ้าไม่มีการอุทธรณ์ คดีสิ้นสุด ก็จะกลับไปเรียนหนังสือที่ปอเนาะตามปกติ”
นับจากวันเกิดเหตุ 9 ตุลาคม ปีที่แล้ว กระทั่งการยกฟ้องเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน 19 ตุลาคมที่ผ่านมากินเวลาไป 1 ปี กับ 10 วัน ซึ่งถือว่าใช้เวลารวดเร็วมากสำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในภาคใต้ แต่ทว่า ช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยของญาติพี่น้องในครอบครัวของเขาทั้งสาม ราคาความยุติธรรมที่ต้องจ่ายในระหว่างการดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นอิสรภาพช่วงก่อนการประกันตัว อนาคตการศึกษา หรือแม้แต่คำดูถูกคำประณามจากคนรอบข้างและคนไทยทั้งประเทศในเวลาดังกล่าว ยังต้องถือว่าเป็นบทเรียนอีกมุมหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ปรารถนาความยุติธรรมมาชโลมความรุ่มร้อนรุนแรงที่เป็นอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องไปแล้ว แต่ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ยังไม่ได้รับการคลี่ปมสำคัญแต่อย่างใด เพราะคำถามเดิมๆ ที่ว่า ใครเป็นผู้สังหาร “นายดุษฎีบุญ” ? ยังไม่ได้รับคำตอบกระทั่งถึงปัจจุบัน