xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าขานจาก “หมู่บ้านสีแดง” ผ่าองค์กรปกครองใต้เงา BRN

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

ต้นกำเนิดของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่เริ่มต้นการต่อสู้ด้วยอาวุธมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 จากกองกำลังติดอาวุธที่มีศักยภาพสูง เมื่อเผชิญกับการกดดันปราบปรามอย่างรุนแรง จนศักยภาพในการคงกองกำลังไว้เพื่อสู้รบไม่อาจดำเนินต่อไปได้


ผู้นำขบวนการแยกดินแดนที่เคยมีบทบาทหลายคน บ้างยุติบทบาท บ้างเสียชีวิต ถูกจับกุม หรือเข้ามอบตัวกับทางราชการ ส่งผลให้การปราบปรามของรัฐบาลไทยประสบความสำเร็จมาโดยลำดับ แต่ก็ใช่ว่าแนวคิดและอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนเพื่อสถาปนารัฐอิสลามปัตตานีจะหมดไปเพียงแค่ชั่วรุ่นเดียว

แต่แนวคิดอุดมการณ์ดังกล่าวได้รับการบ่มเพาะและก่อตัวขึ้นมาใหม่ โดยผู้นำกลุ่มใหม่ภายใต้ความสงบเงียบของสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

ขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะกลุ่ม BRN Co-ordinate ตกเป็นตัวการสำคัญในการสร้างเครือข่ายแอบแฝงในลักษณะต่างๆ อาทิ เครือข่ายโรงเรียนตาดีกา สถาบันศึกษาปอเนาะ ดำเนินการปลุกระดมมวลชน ซ่องสุมกำลัง อบรมเยาวชนให้ปฏิเสธ กระด้างกระเดื่องต่ออำนาจรัฐ รวมทั้งการสร้างฐานทางเศรษฐกิจในลักษณะพึ่งตนเองในชุมชน สนับสนุนให้แกนนำแนวร่วมในพื้นที่จัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ในลักษณะพึ่งตนเอง

เป็นเวลานานแล้วที่กลุ่ม BRN Co-ordinate เริ่มดำเนินงานมวลชนควบคู่ไปกับงานด้านเศรษฐกิจ โดยแอบแฝงการระดมเงินออมจากกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ มีการเรียกเก็บเงินจากชาวบ้านที่เข้ามาเป็นสมาชิกวันละ 1 บาท เงินที่เก็บมาได้จะแสดงยอดรายรับรายจ่ายไว้บนกระดานมัสยิดประจำหมู่บ้าน มีการบริหารกองทุนเพื่อนำเงินก้อนนี้ไปสร้างรายได้ เช่น รับจำนำสวนยาง และขายยางพาราที่ตัดได้จากสวนที่รับจำนำเอาไว้ รายได้จำนวนหนึ่งจะนำไปจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่สมาชิก และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อนำไปสมทบเป็นกองทุนดำเนินงานของ BRN Co-ordinate

ด้านการปกครอง กลุ่ม BRN Co-ordinate มีการจัดตั้งสภาการเมือง และกองกำลังปฏิบัติการในหมู่บ้าน มีการจัดตั้งสายบังคับบัญชาที่เรียกว่า สภาหมู่บ้าน หรือ POLDAK ย่อมาจาก Politik Dalam Kampong เริ่มจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อต้นปี 2545 เนื่องจากมีแนวร่วม และเครือญาติของกลุ่ม BRN อยู่เป็นจำนวนมาก วัตถุประสงค์การจัดตั้งคือการสร้างมวลชน แนวร่วม วางแผนปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ วางระบบการปกครองใหม่ และปลูกฝังแนวคิดแก่ชาวบ้าน

กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ขบวนการก่อความไม่สงบยังมีการเคลื่อนไหว และดำเนินงานด้านการเมืองมาอย่างเงียบๆ และต่อเนื่อง สามารถสร้างเครือข่ายมวลชนกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายหลังเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบุกปล้นปืนค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 ต.ปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 เหตุการณ์ที่กลุ่มเยาวชนและชาวบ้านจำนวนหนึ่งในพื้นที่ จ.สงขลา ปัตตานี และยะลา ลุกฮือเข้าโจมตีฐานที่มั่นฝ่ายเจ้าหน้าที่พร้อมๆ กันกว่า 10 แห่ง ในวันที่ 28 เมษายน 2547 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเหตุการณ์ ‘กรือเซะ’ และการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้า สภ.อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปีเดียวกัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน ถูกควบคุมตัวไปสอบสวนกว่า 1,300 คน และถูกจับกุมดำเนินคดีอีก 58 คน

มาตรการที่แข็งกร้าวของฝ่ายรัฐ กลายเป็นประเด็นให้ขบวนการก่อความไม่สงบใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้านและปฏิเสธอำนาจรัฐ ขยายกลุ่มแนวร่วมให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งฝ่ายรัฐเรียกพื้นที่ซึ่งชาวบ้านเข้าเป็นแนวร่วมกับขบวนการก่อความไม่สงบนี้ว่า “หมู่บ้านสีแดง” ซึ่งคาดการณ์ว่าจนถึงขณะนี้มีเป็นจำนวนถึง 435 หมู่บ้าน จากจำนวนหมู่บ้านที่มีอยู่ 1,570 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้พื้นที่สีแดงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก? และเรื่องราวภายในหมู่บ้านสีแดงเหล่านี้เป็นอย่างไร?

ปากคำของ “ผู้นำหมู่บ้าน” ในพื้นที่เหล่านี้ ฉายภาพบางส่วนออกมาให้เห็น

“คิดว่าราว 80% ไปเป็นพวกเขาหมดแล้ว ที่เป็นอย่างพวกผมมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นพวกเขาไปหมดแล้ว” ชายซึ่งเป็น “ผู้ใหญ่บ้าน” ของหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เผยให้เราฟังพร้อมถอนลมหายใจทดท้อ ในขณะที่ “ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน” ซึ่งนั่งฟังอยู่ข้างๆ ผงกหัวคล้อยตามข้อมูลดังกล่าวอย่างเงียบๆ

ผู้ใหญ่บ้านคนนี้ให้ข้อมูลว่า ในหมู่บ้านของเขามี “แกนนำ” อยู่แน่นอน ซึ่งแกนนำเหล่านี้ไม่มีงานทำ แต่จะมีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือ

เขาตั้งข้อสังเกตว่า หมู่บ้านที่มีการจัดตั้งแนวร่วมเป็นจำนวนมากเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง นั่นคือผู้ที่เป็นผู้นำชุมชนอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านเหล่านี้บางคนแทบจะเป็นแนวร่วมของกลุ่มฯ ไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือถูกกดดันก็ตาม ในขณะที่สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) ในเขตเหล่านี้เป็นจำนวนมากก็ล้วนเป็นแนวร่วมของกลุ่มฯ ด้วยเช่นกัน เพราะได้มาจากการเลือกตั้งของชาวบ้านโดยตรง

เขาทั้งสองต่างตั้งข้อสังเกตไปในทางเดียวกันว่า เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้า สภ.อ.ตากใบ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการขยายแนวร่วมของกลุ่มฯ อย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆ ก็เป็นที่ชัดเจนสำหรับหมู่บ้านของเขา

“หมู่บ้านผมมีคนตาย 1 เจ็บอีก 13 คน ชาวบ้านที่เป็นญาติพี่น้องก็รู้สึกไม่พอใจต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐมาก ก่อนหน้านั้นคนพวกนี้เขาประชุมกันอย่างมากก็ราวเดือนละครั้ง แต่หลังจาก “เหตุการณ์ตากใบ” ก็ประชุมกันถี่ขึ้น เดือนละ 2–3 ครั้งก็มี”

การประชุมที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านระบุ เป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่เขาจับตามาโดยตลอด และพบว่า การประชุมแต่ละครั้งมีคนมาร่วมราว 8–9 คน หลายครั้งผู้เข้าร่วมประชุมจะเดินทางมาจากต่างพื้นที่ โดยอาศัยรถตู้และรถกระบะเป็นพาหนะ ส่วนสถานที่ประชุมก็อาจจะเป็นบ้านหรือมัสยิด โดยระยะเวลาในการพูดคุยแต่ละครั้งกินเวลาตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงตี 5

“ผมไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่น่าจะคุยกันเรื่องแยกดินแดนนี่แหละ เข้าใจว่าคงจะเป็นการจัดกลุ่มมาเรียนกัน แต่ก่อนก็นานๆ ครั้ง แต่หลังๆ มานี้บ่อยขึ้น”

แม้การสังเกตของเขายังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูล เนื่องจากไม่อาจเข้าไปร่วมสัมผัสและรับรู้โดยตรงด้วยตัวเองได้ แต่สัญญาณหลายประการในหมู่บ้านทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่ามี “กระบวนการจัดตั้ง” อย่างเป็นระบบระเบียบมานานแล้ว จะเห็นได้จากท่าทีของผู้นำท้องถิ่นในหมู่บ้านเหล่านี้ที่เป็น “พวกเขา” ไปเกือบหมดแล้ว ในขณะที่ “โต๊ะอิหม่าม” ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาในชุมชนก็แทบจะไม่มีบทบาทต่อชุมชน นอกจากการนำละหมาดที่มัสยิดเท่านั้น

“เวลาอ่านคุฎบะฮ์ (เทศนา) ก่อนละหมาดวันศุกร์ทุกสัปดาห์ พวกเขาจะจัดคิวขึ้นพูดเลย เนื้อหาก็เป็นไปในทำนองปลุกระดมชาวบ้านให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐสร้างความไม่เป็นธรรมอย่างไร เรียกร้องให้ยกระดับความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้าน รวมทั้งเรียกร้องให้มีการกู้เอกราช มันเหมือนเป็นการล้างสมอง”

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านยังให้ภาพในทำนองว่า การนำและกุมสภาพหมู่บ้านได้ปรับเปลี่ยนจากผู้นำชุมชนในแบบปกติ ซึ่งได้แก่ผู้ใหญ่บ้านหรือโต๊ะอิหม่ามไปสู่บุคคลที่อาจไม่มีตำแหน่งทางสังคมใดๆ เลย แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา บางรายจบปริญญาตรีในสายสามัญ บางรายก็จบศาสนาในชั้นสูง มีความรู้ทั้งศาสนาและสามัญ พูดจามีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าผู้นำรุ่นเก่า

ข้อสังเกตประการสำคัญคือ กลุ่มแกนเหล่านี้มักไม่มีงานทำเป็นหลัก อาจมีรายได้บ้างจากการทำงานของภรรยา แต่เงินทองกลับมีใช้ตลอดไม่ขาดมือ

“ผู้ใหญ่บ้านและโต๊ะอิหม่ามในหมู่บ้านแบบนี้ บางคนที่อยู่ในสายของเขาเท่านั้นที่อาจจะมีบทบาทบ้าง พูดแล้วชาวบ้านฟัง แต่ถ้าในหมู่บ้านไหนไม่มีผู้นำในสายของเขา ชาวบ้านจะเชื่อพวกเขาที่หนุ่มๆ มากกว่าโต๊ะอิหม่ามแก่ๆ เสียอีก หมู่บ้านผมก็เหมือนกัน”

นอกจากปฏิเสธผู้นำที่ไม่ได้อยู่ใน “สาย” ของเขาแล้ว ยังมีการกระทำที่สะท้อนให้เห็นถึงการจัดตั้งที่เข้มแข็งหลายปรากฏการณ์ เช่น การร่วมใจกันเทของบริจาคที่ได้มาจากหน่วยงานรัฐทิ้ง การรวบรวมเงินจากชาวบ้านคนละ 1 บาทต่อวัน เพื่อสะสมเป็นเงินทุนดำเนินการต่างๆ มีการจัดเวรเฝ้าระวังหมู่บ้านกันตลอดทั้งวัน โดยแบ่งหน้าที่ให้ “ผู้ชาย” รับผิดชอบเวรกลางคืน ส่วน “ผู้หญิง” รับผิดชอบเวรกลางวัน

กรณีที่มีทหารหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เข้ามาในหมู่บ้านจะมีการส่งสัญญาณฉุกเฉินด้วยการตีเกราะ จากนั้นกลุ่มเด็กเล็กในหมู่บ้านก็จะกรูกันเข้ามาห้อมล้อมเพื่อกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าหมู่บ้าน ในขณะที่กลุ่มผู้ชายบางส่วนก็จะหลบหน้าหนีหายไป

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนเดิมยังให้ภาพกลไกการจัดตั้งของกลุ่มคนหนุ่มในหมู่บ้านนี้ว่า ผู้ที่เป็นแกนจะดึงมวลชนใหม่เข้ามาในกลุ่ม ผ่านวิธีการจัดตั้งทั้งเปิดเผยและปิดลับ เมื่อเป็นสมาชิกใหม่แล้ว จะต้องรับผิดชอบหาสมาชิกมาเพิ่มอีกรายละ 5 คน งบประมาณดำเนินการต่างๆ สามารถมาเบิกได้ที่แกนนำของหมู่บ้าน

ขณะเดียวกัน ยังมีหลักเกณฑ์ในการตัดตอนชั้นความลับโดยกำหนดให้สมาชิกจะรู้จักกับสมาชิกคนอื่นๆ ได้เพียง “จัดตั้ง” และ “ผู้ที่ตนเองจัดตั้ง” เท่านั้น โดยจะตัดตอนไม่ให้รู้จักกับสมาชิกในระดับเดียวกัน

“ส่วนการก่อเหตุร้ายในแต่ละพื้นที่ เขาจะให้สมาชิกลุ่มฯ ที่อยู่นอกพื้นที่เข้ามาทำงาน สมาชิกในหมู่บ้านจะไม่ทำกันเอง”

เขาทั้งสองยังสรุปให้เห็นว่า “เหตุการณ์ตากใบ” เป็นเงื่อนไขสำคัญที่กลุ่มผู้ก่อการใช้ในการขยายฐานมวลชนได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว โดยเฉพาะหมู่บ้านที่สูญเสียสมาชิกในชุมชนและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างหมู่บ้านของเขาทั้งสองแล้ว หากมี “การจัดตั้ง” ชั้นยอด จะยิ่งทำให้ฐานมวลชนของกลุ่มผู้ก่อการแผ่กระจายได้อย่างรวดเร็วกว่าหมู่บ้านอื่น

ทั้งสองยืนยันว่า ไม่ได้เป็น “พวกนั้น” โดยให้เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่รุนแรง และคิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความจริงใจ เนื่องจากเอาศาสนาบังหน้าการกระทำเพื่อตัวเอง แต่ด้วยจุดยืนเช่นนี้ทำให้สถานะผู้นำหมู่บ้านตามโครงสร้างฝ่ายปกครองของพวกเขากลายเป็นสนามประลองกำลังทางการเมืองของกลุ่มฯ และอำนาจรัฐ

“เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เขาส่งเด็กตัวเล็กๆ มาขู่ให้ลาออกจากการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เด็กมาบอกว่าคำสั่งออกมาแล้ว ถ้าไม่ลาออกจะไม่รับรองความปลอดภัย ตอนนี้ยังไม่ลาออกแต่เราอยู่บ้านไม่ได้ ต้องออกมา อยู่ไม่ได้” ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังอย่างเคร่งเครียด เขายังบอกว่าทุกวันนี้แม้ว่าจะมีตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแห่งนั้น แต่กลับต้องย้ายตัวเองมานอนที่อีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นบ้านเกิดเดิมของตนอย่างไม่สมัครใจนัก

การสร้างสภาวะที่เรียกว่า “อาณาจักรแห่งความกลัว” ยังเป็นยุทธวิธีที่กลุ่มฯเลือกใช้ เพื่อกดดันให้ชาวบ้านเข้ามาเป็นแนวร่วมด้วยความจำยอม

“พวกเขาประกาศว่า หากใครเข้าร่วมด้วยจะคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้ แต่ถ้าปฏิเสธการเข้าร่วมก็จะไม่ได้รับการคุ้มครอง มีบางคนที่ปฏิเสธพวกเขา สวนยางถูกทำลายเรียบเลย” ด้วยแรงกดดันลักษณะนี้ทำให้หลายคนต้องผันตัวเองเป็นแนวร่วมไปโดยปริยาย แม้ว่าเริ่มแรกจะไม่เห็นด้วยกับ “การเคลื่อนไหว” ของกลุ่มฯ อยู่ก็ตาม

“ชาวบ้าน 20% ที่เหลือไม่อยากเป็นพวกเขาก็อยู่เฉยๆ บางคนจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็แอบไปขอยาที่ค่ายทหารก็มี”

ปรากฏการณ์การอพยพของชาวมุสลิมออกนอกพื้นที่ อาจมีมุมที่มองได้ว่าเป็นการหนีแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนนี้กลับให้มุมที่มองกลับกันว่า การอพยพเกิดจากการหนีแรงกดดันจากฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบ

“ชาวบ้านที่ไปรายงานตัวหรือถูกเรียกตัวไปสอบ เมื่อกลับมาถึงบ้านจะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษจากกลุ่มขบวนการว่าจะไปบอกข้อมูลให้ทางการรู้หรือไม่ มีทั้งแรงกดดันและการข่มขู่ ไปรายงานตัวกลับมาบ้านก็ตายเหมือนกัน”

เขาบอกว่าข้อมูลดังกล่าวดูเหมือนจะเรื่องเกินจริง ซึ่งไม่อาจเป็นไปได้สำหรับผู้ที่รับฟัง เนื่องจากหลายคนไม่เชื่อถือ แม้แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองก็ไม่เคยถามถึงสถานการณ์ในหมู่บ้านเลยแม้ว่าจะมีการประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านกันบ่อยครั้ง นอกจากนี้ การเข้าถึงหมู่บ้านของเจ้าหน้าที่ทหารก็เพียงการลาดตระเวนผ่านไปมา ไม่สามารถสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประชาชนได้จริง

ทุกวันนี้ เขาทั้งสองยังคงต้องอาศัยอยู่นอกบ้านตัวเอง และไม่รู้ว่าจะได้กลับไปอีกครั้งเมื่อไร


กำลังโหลดความคิดเห็น