แพร่ – เปิดสัญญาขายไม้ 7 ใน 11 สวนป่าภาคเหนือของ อ.อ.ป.มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท ให้กับกลุ่มทุนอินเดีย เมิน 1,500 กิจการเฟอร์นิเจอร์ไม้ในท้องถิ่น จนกลายเป็นปัญหาบานปลายถึงขั้นประท้วง – ยึดรถขนไม้กันกลางดึก ล่าสุด อ.อ.ป.ไม่สนคำสั่งปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ เดินหน้าขนไม้เข้ากรุงส่งต่อสิงคโปร์-อินเดีย
ในอดีต ไทยขายไม้ให้กับอังกฤษกันอย่างครึกโครมมาแล้วครั้งหนึ่ง ครานั้นทำให้ไม้สักในเมืองแพร่ ที่มีอายุกว่า 100 ปีแทบทั้งสิ้น ถูกตัดส่งไปอังกฤษท่อนแล้วท่อนเล่า จนหมดป่า
ล่าสุดปี 2547 ไม้สักจากจังหวัดแพร่ และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ ที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นไม้จากป่าธรรมชาติก็ตาม กำลังถูกตัดขายต่างประเทศอีกครั้ง โดยองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)ของไทย ได้ทำสัญญาขายไม้สักจากสวนป่า อ.อ.ป.จำนวน 7 แห่งในภาคเหนือจากทั้งหมด 11 สวนป่า ให้กับกลุ่มทุนจากอินเดีย ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์
สัญญาซื้อขายไม้สวนป่า อ.อ.ป.ดังกล่าว ทำขึ้นที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เลขที่ 76 ถ.ราชดำเนินนอก แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2547 โดยนายชนิตร เลาหะวัฒนะ ผู้อำนวยการ อ.อ.ป.ลงนามเป็นผู้ขาย กับ TROPICAL FORESTRIES PTE LTD. ที่จดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลที่สิงคโปร์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 4 SROOKVALE WALK 03-04 BROOKVALEPARK SINGAPOREโดย TIRUNLAYI MAHALINGAM ANANTHA NARAYANAN (MRANANT NARAYAN) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ปรากฏตามหนังสือรับรองของ ACCOUNTING AND CORPORATE REGULATORY AUTHORITY (ACRA) ประเทศสิงคโปร์ ลงวันที่ 17 ธันวาคม 47 สัญญาที่1/2547
สัญญาดังกล่าว กลายเป็นฉนวนความขัดแย้ง ระหว่างคนในท้องถิ่นจังหวัดแพร่ ที่ประกอบอาชีพผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ออกจำหน่ายมาอย่างยาวนานกับ อ.อ.ป. เนื่องจากผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้แถบจังหวัดแพร่ – ใกล้เคียง จำนวนกว่า 1,500 ราย ที่ยินยอมปฏิบัติตามนโยบายของผู้ว่าซีอีโอ นำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของตนขึ้นมาตั้งไว้ “บนดิน” ไม่นำ “ไม้เถื่อน” เข้าสู่โรงงานของตนเองอีกต่อไป ทำให้ต้องหันมาพึ่งพิง “ไม้สวนป่า อ.อ.ป.” ที่มีไม้สักอายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งมีกว่า 20,000 ไร่ เป็นแหล่งวัตถุดิบเป็นหลัก จากเดิมที่ใช้วิธีซื้อไม้เถื่อนเข้ามาเป็นวัตถุดิบ
เมื่อ อ.อ.ป. ที่มีสวนป่าไม้สักอยู่ในภาคเหนือ 11 แห่ง ทั้งที่แพร่ อุตรดิตถ์ ลำปาง และเชียงใหม่ ตกลงทำสัญญาขายไม้สักจาก 7 ใน 11 สวนป่าในภาคเหนือ ให้กับ TROPICAL FORESTRIES PTE LTD.ของนายอานัน ชาวอินเดีย อันเป็นการขายไม้ทั้งสวนป่าขณะที่ยังยืนต้นอยู่ เป็นไม้สักขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 60 – 100 เซนติเมตร รวม 841,918 ตัน หรือ 126,503.45 ลูกบาศก์เมตร ในราคาลูกบาศก์เมตรละ 6,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 823,712,500 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คิดเป็น 75%ของผลผลิตไม้จากสวนป่า อ.อ.ป.ที่มีอยู่
เหลือไม้ที่มีขนาดเล็ก ต่ำกว่ามาตรฐาน สำหรับขายให้กับคนในท้องถิ่นเพียง 25%เท่านั้น และเป็นการขายในราคาที่สูงถึง 4,500 – 5,500 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่แพงเมื่อเทียบกับ ราคา / คุณภาพไม้สักที่ อ.อ.ป.ขายให้กับนายทุนจากอินเดีย
ขณะที่ผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ในท้องถิ่นจังหวัดแพร่ เรียกร้องขอสิทธิ์ซื้อไม้คุณภาพ/ราคา เดียวกับนายทุนอินเดีย
โดยหลายคนออกมาตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ อ.อ.ป.ขายไม้ให้กับนายทุนจากอินเดีย แทนที่จะขายให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่น ที่เป็นคนไทยเหมือนกัน เพราะมีผลประโยชน์ และอำนาจทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง ว่ากันว่า ถึงกับเกิดเสียงเล่าลือกันว่า สัญญาซื้อขายไม้ครั้งนี้ มีส่วนแบ่งตกหล่นในมือผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 1,000 บาท/ลูกบาศก์เมตร ส่วนระดับทีมงานได้ 300 บาท/ลูกบาศก์เมตร แต่ก็ไม่มีการนำหลักฐานยืนยันชัดเจน และเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นตามคำสั่งของกลุ่มการเมือง ที่กดดันให้ อ.อ.ป.ขายไม้สักในสวนป่าให้กับ TROPICAL FORESTRIES PTE LTD. โดยมีนักธุรกิจสาวใหญ่จากจังหวัดกาญจนบุรี เป็นผู้เดินงานหลัก
ทั้งนี้หลังการลงนามซื้อขายไม้สวนป่า อ.อ.ป.ดังกล่าวแล้ว กลุ่มผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ในจังหวัดแพร่ รวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านมาแล้ว 2 ครั้งใหญ่ โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 14 ธันวาคม 2547 ผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์แถบ อ.สูงเม่น จังหวัดแพร่ และอำเภอใกล้เคียง รวมกว่า 1,000 คน ได้รวมตัวกันชุมนุมประท้วงคัดค้าน รวมทั้งเมื่อ 20 กรกฎาคม 48 ก็มีชาวบ้านกว่า 300 คน บุกยึดรถบรรทุกขนไม้ อ.อ.ป. ที่กำลังขนส่งไม้จากสวนป่าแม่คำมี จ.แพร่ ไปกรุงเทพฯ เพื่อส่งลงเรือไปอินเดียต่อ
เหตุผลหลักของการประท้วงคัดค้านการขายไม้จากสวนป่า อ.อ.ป.ในภาคเหนือให้กับนายทุนจากอินเดีย ก็คือ ผลกระทบที่ทำให้ผู้ประกอบการทำเฟอร์นิเจอร์และสิ่งประดิษฐ์จากไม้ ที่มีอยู่มากในจังหวัดแพร่ เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร ไม่น้อยกว่า 1,500 ราย ต้องประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และส่งผลกระทบต่อโครงการโอทอปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาต้องหาทางออกในการขาดแคลนวัตถุดิบ ด้วยการสั่งจากลำปาง อุตรดิตถ์ ลำพูน เชียงใหม่ แต่ต้องเจอปัญหาค่าขนส่งเพิ่มอีกหลายเท่าตัว บวกกับค่าเบี้ยบ่ายรายทาง ด่านตำรวจตามจุดต่าง ๆ จนอาจจะต้องหันกลับไปใช้ “ไม้เถื่อน” กันอีกครั้งหนึ่ง
จากนั้นในวันที่ 25 กรกฎาคม 48 หลังจากการรวมตัวประท้วงครั้งล่าสุดได้เพียง 3 วัน กลุ่มสหกรณ์ผู้ประกอบการทำไม้รายย่อยจำนวนหนึ่ง ได้เข้าพบกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อยื่นหนังสือขอให้มีการระงับการขนไม้ขายให้กับต่างประเทศ ซึ่งผู้ว่าฯ ได้รับเรื่องไว้ และเตรียมทำหนังสือให้กับอ.อ.ป. และนายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาต่อ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
นายสุรชัย กรรณิการ์ แกนนำสหกรณ์ผู้ประกอบการทำไม้เมืองแพร่ กล่าวว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาชาวบ้านได้เรียกร้องขอให้มีการแก้ไข มติ ครม.และปัญหาอื่นรวม 9 ประเด็นคือ 1.ให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาไม้อ.อ.ป.ที่ชาวบ้านต้องซื้อ 2.ให้ชาวบ้านสามารถใช้ไม้ที่มีคุณภาพของ อ.อ.ป. แทนการนำเอาไม้ชั้นดีไปขายต่างประเทศ 3.ยกเลิกการห้ามตั้งโรงงานหน้าต่างประตูวงกบ ในพื้นที่ภาคเหนือ
4.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจอนุญาต ตั้งโรงงานเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์จากไม้แทนกรมป่าไม้ที่ต้องใช้เวลานาน 5.บ้านเวียงทองอยู่ในเขตผังเมืองที่มีข้อห้ามตั้งโรงงาน ให้ยกเลิกเนื่องจากปัจจุบันมีโรงงานนับ 1,000 โรงงานอยู่ในหมู่บ้าน 6.การขออนุญาตตั้งโรงงานสิ่งประดิษฐ์จากไม้ในครัวเรือนได้ โดยให้ยกเลิกข้อห้ามเครื่องจักรไม่เกิน 5 แรงม้า
7.อนุญาตให้สามารถลำเลียงรากไม้ ตอไม้ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว นำมาพัฒนาเป็นเฟอร์นิเจอร์แล้วถูกต้องตามกฎหมาย 8.ให้มีการส่งเสริมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ครบวงจร เพราะปัจจุบันส่งเสริมผลิตตามโครงการโอทอป แต่ไม่สามารถวางายได้ต้องขออนุญาตอีกให้แก้ไขจนชาวบ้านสามารถจำหน่ายได้โดยตรง 9.ให้สามารถนำไม้เรือนเก่ามาแปรรูปได้และจำหน่ายได้
ส่วนการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุด ชาวบ้านขอเรียกร้องเป็นประเด็นหลักที่สำคัญคือ การระงับการขายไม้และขนส่งไม้สักไปยังประเทศอินเดีย เพื่อนำไม้มาตอบสนองให้กับคนแพร่ให้เพียงพอก่อน
นายคมศักดิ์ โสภารัตน์ หัวหน้าสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติฯ จ.แพร่กล่าวว่า เดิมทีชาวบ้านเป็นผู้ประกอบการทำไม้มานานด้วยทรัพยากรและภูมิปัญญาในขณะนั้น แต่หลังรัฐบาลปิดป่า ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนไม้ จนปัจจุบันเรามีการส่งเสริมการปลูกป่าไม้สักเริ่มโครงการขึ้นมาตั้งแต่ปี 2537 ปัจจุบันเริ่มมีผลผลิตออกมาแต่กลับเป็นปัญหาเรื่องของการขออนุญาตตั้งโรงงานที่มีข้อห้ามจากมติ ครม.เมื่อปี 2534 เป็นมาตรการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงนโยบายกรมป่าไม้ปี 2541 ก็ยังห้ามไม่ให้ตั้งโรงงานทำประตูหน้าต่าง ยกเว้นตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ลงไป แต่ในขณะที่จังหวัดแพร่ยังห้ามมิให้ตั้งโรงงานทำประตูหน้าต่าง
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีเหตุการณ์ประท้วงของกลุ่มผู้ประกอบการทำไม้ และเฟอร์นิเจอร์ ที่จังหวัดแพร่แล้ว นายปิติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มีนายศุภวิทย์ เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นประธานฯ เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ระงับการขายไม้และส่งไม้ไปยังประเทศอินเดียจนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จ
คำสั่งดังกล่าวกลับไม่มีผลในทางปฏิบัติ เนื่องจาก อ.อ.ป.ยังคงขนส่งไม้ส่งให้กับคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง เช่น เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ที่ผ่านมามีการขนไม้ออกจากสวนป่าแม่คำมีถึง 260 ลูกบาศก์เมตรจำนวนกว่า 10 คันรถบรรทุกพ่วง และในวันที่ 26 กรกฎาคม 2548 ก็มีการลำเลียงไม้อีก 95 ลูกบาศก์เมตร ทั้งที่การขนไม้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 48 มีการตรวจสอบพบว่า ทำผิดระเบียบของกรมป่าไม้ เนื่องจากไม้ที่ขนไป มิได้มีการประทับตราของ อ.อ.ป.แต่อย่างใด
แต่บทสรุปคืออ.อ.ป.ก็ยังคงขนไม้ส่งต่อไปกรุงเทพฯได้ โดยมิได้มีการจัดการใดๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีเพียงการแจ้งให้ อ.อ.ป.ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบเท่านั้น