ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เจ้าอาวาสวัดผาลาดชี้กรณีขัดแย้ง "สงฆ์-ฆราวาส" ในพื้นที่วัดเกิดจากความเข้าใจผิด เผยเตรียมเรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยปรับความเข้าใจกันช่วงเข้าพรรษานี้ ระบุอนุญาตให้มีบ้านพักอาศัยอยู่ในเขตวัดได้เพราะเป็นกลุ่มคนที่สร้างประโยชน์ให้แก่วัด
จากกรณีกรณีความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์และฆราวาส ที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ในบริเวณวัดผาลาด ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดอายุเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ โดยมีการระบุว่าการอนุญาตให้ฆราวาสมีบ้านพักอาศัยอยู่ในเขตวัดเป็นเรื่องไม่เหมาะสมนั้น
พระมหาสง่า ธีรสํวโร เจ้าอาวาสวัดผาลาด กล่าวถึงบ้านพักอาศัยของฆราวาส ที่ตั้งอยู่ในเขตวัดว่า เป็นบ้านพักของคุณหญิงสมานสนิท สวัสดิวัฒน์ ที่วัดอนุญาตให้สร้างอยู่ได้มาหลายสิบปีแล้ว ทั้งนี้การอนุญาตดังกล่าวเป็นการอนุญาตของอดีตเจ้าอาวาส เมื่อครั้งที่เพิ่งมีการบูรณะฟื้นฟูและยกฐานะวัดจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์
ขณะนั้นวัดไม่มีเงินทุนที่จะบำรุงฟื้นฟูวัดให้มีสภาพที่ดี คุณหญิงสมานสนิท ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าจึงได้ขายที่ดินที่ต่างจังหวัดได้เงินมาประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาบูรณะวัดผาลาดพร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิธรรมนาถทำงานด้านการอนุรักษ์ป่า
ดังนั้นเจ้าอาวาสในขณะนั้น จึงได้กันพื้นที่ส่วนหนึ่งในเขตวัด และอนุญาตให้คุณหญิงสมานสนิท สามารถสร้างบ้านเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานของมูลนิธิธรรมนาถและพักอาศัยอยู่ได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่วัดอย่างมากมาย ประกอบกับในช่วงนั้น ในพื้นที่เขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย ยังมีปัญหาการบุกรุกทำลายป่าของชาวบ้านอยู่มากและทางเจ้าอาวาสเองก็ทำงานด้านการอนุรักษ์ป่าอยู่แล้ว จึงเห็นว่าการมีที่ตั้งสำนักงานของมูลนิธิธรรมนาถตั้งอยู่ในพื้นที่ด้วยจะเป็นผลดีต่อการทำงานด้านการดูแลรักษาป่าร่วมกัน
ทั้งนี้การอนุญาตดังกล่าวได้มีหลักฐานบันทึกไว้อย่างชัดเจน และเมื่อตนเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ก็พิจารณาเห็นว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่เคยสร้างประโยชน์ให้แก่วัดอย่างมากจริง และการพักอาศัยอยู่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ จึงอนุญาตให้อยู่อาศัยต่อไปได้
"ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพราะต่างคนต่างมุมมอง ต่างคิดว่าความคิดของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งไม่มีการพูดคุยกันเลย ปัญหาก็ยิ่งขยายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งในช่วงเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ อาตมาจะเชิญทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยปรับความเข้าใจกัน หลังจากนั้นเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปได้" พระมหาสง่า กล่าว
สำหรับวัดผาลาดเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ได้รับการยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาเมื่อปี 2524 ตามรายงานเสนอของเจ้าคณะภาค 7 ที่มีการนำเรื่องเข้าสู่การประชุมของมหาเถรสมาคม จนกระทั่งในที่สุดกระทรวงศึกษาธิการ โดยนายสิปปนนท์ เกตุทัต รัฐมนตรีว่าการในขณะนั้น ได้ลงนามในหนังสือลงวันที่ 2 มีนาคม 2524 ประกาศแจ้งให้วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์
ทั้งนี้ก่อนที่จะมีการเสนอขอยกวัดร้างแห่งนี้ให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์ วัดผาลาดได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้อยู่แล้วกับกรมศิลปากร อย่างไรก็ตามในการเสนอขอยกฐานะเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ ทางกรมศิลปากรไม่ได้มีข้อขัดข้องแต่อย่างใด เพียงแต่มีข้อเสนอแนะให้มีการดูแลรักษาโบราณสถานที่มีอยู่ และหากจะมีการก่อสร้างสิ่งใดขอให้มีการแจ้งให้กรมศิลปากรทราบพร้อมทั้งส่งแบบแปลนให้ด้วย เพื่อที่จะได้ข้อแนะนำได้แล้วแต่กรณี
ในการสำรวจพื้นที่ของวัดผาลาด ก่อนที่จะมีการรายงานเสนอขอยกฐานะ พบว่าวัดอายุกว่า 400 ปี แห่งนี้ มีเนื้อที่ประมาณ 237 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย แต่ได้มีการกันพื้นที่ออกมาแล้ว โดยสภาพความเป็นวัดร้างที่ปรากฏมีสิ่งก่อสร้าง ได้แก่ เจดีย์เก่าแบบพม่า 1 องค์ วิหารเก่าแบบล้านนา 1 หลัง และแนวกำแพงรวมทั้งสิ่งปรักหักพังของอิฐเก่า ขณะที่มีสิ่งก่อสร้างใหม่ ได้แก่ กุฏิสร้างด้วยไม้แข็ง 6 หลัง ที่พักอุบาสกอุบาสิกาสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไฟฟ้า ประปา และถนนลำลองเข้าสู่วัด ทั้งนี้จากพื้นที่ทั้งหมดของวัดมีเพียง 30 ไร่เท่านั้นที่อนุญาตให้ทำการก่อสร้างใหม่ขึ้นได้
จากกรณีกรณีความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์และฆราวาส ที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ในบริเวณวัดผาลาด ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดอายุเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ โดยมีการระบุว่าการอนุญาตให้ฆราวาสมีบ้านพักอาศัยอยู่ในเขตวัดเป็นเรื่องไม่เหมาะสมนั้น
พระมหาสง่า ธีรสํวโร เจ้าอาวาสวัดผาลาด กล่าวถึงบ้านพักอาศัยของฆราวาส ที่ตั้งอยู่ในเขตวัดว่า เป็นบ้านพักของคุณหญิงสมานสนิท สวัสดิวัฒน์ ที่วัดอนุญาตให้สร้างอยู่ได้มาหลายสิบปีแล้ว ทั้งนี้การอนุญาตดังกล่าวเป็นการอนุญาตของอดีตเจ้าอาวาส เมื่อครั้งที่เพิ่งมีการบูรณะฟื้นฟูและยกฐานะวัดจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์
ขณะนั้นวัดไม่มีเงินทุนที่จะบำรุงฟื้นฟูวัดให้มีสภาพที่ดี คุณหญิงสมานสนิท ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าจึงได้ขายที่ดินที่ต่างจังหวัดได้เงินมาประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาบูรณะวัดผาลาดพร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิธรรมนาถทำงานด้านการอนุรักษ์ป่า
ดังนั้นเจ้าอาวาสในขณะนั้น จึงได้กันพื้นที่ส่วนหนึ่งในเขตวัด และอนุญาตให้คุณหญิงสมานสนิท สามารถสร้างบ้านเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานของมูลนิธิธรรมนาถและพักอาศัยอยู่ได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่วัดอย่างมากมาย ประกอบกับในช่วงนั้น ในพื้นที่เขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย ยังมีปัญหาการบุกรุกทำลายป่าของชาวบ้านอยู่มากและทางเจ้าอาวาสเองก็ทำงานด้านการอนุรักษ์ป่าอยู่แล้ว จึงเห็นว่าการมีที่ตั้งสำนักงานของมูลนิธิธรรมนาถตั้งอยู่ในพื้นที่ด้วยจะเป็นผลดีต่อการทำงานด้านการดูแลรักษาป่าร่วมกัน
ทั้งนี้การอนุญาตดังกล่าวได้มีหลักฐานบันทึกไว้อย่างชัดเจน และเมื่อตนเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ก็พิจารณาเห็นว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่เคยสร้างประโยชน์ให้แก่วัดอย่างมากจริง และการพักอาศัยอยู่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ จึงอนุญาตให้อยู่อาศัยต่อไปได้
"ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพราะต่างคนต่างมุมมอง ต่างคิดว่าความคิดของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งไม่มีการพูดคุยกันเลย ปัญหาก็ยิ่งขยายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งในช่วงเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ อาตมาจะเชิญทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยปรับความเข้าใจกัน หลังจากนั้นเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปได้" พระมหาสง่า กล่าว
สำหรับวัดผาลาดเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ได้รับการยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาเมื่อปี 2524 ตามรายงานเสนอของเจ้าคณะภาค 7 ที่มีการนำเรื่องเข้าสู่การประชุมของมหาเถรสมาคม จนกระทั่งในที่สุดกระทรวงศึกษาธิการ โดยนายสิปปนนท์ เกตุทัต รัฐมนตรีว่าการในขณะนั้น ได้ลงนามในหนังสือลงวันที่ 2 มีนาคม 2524 ประกาศแจ้งให้วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์
ทั้งนี้ก่อนที่จะมีการเสนอขอยกวัดร้างแห่งนี้ให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์ วัดผาลาดได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้อยู่แล้วกับกรมศิลปากร อย่างไรก็ตามในการเสนอขอยกฐานะเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ ทางกรมศิลปากรไม่ได้มีข้อขัดข้องแต่อย่างใด เพียงแต่มีข้อเสนอแนะให้มีการดูแลรักษาโบราณสถานที่มีอยู่ และหากจะมีการก่อสร้างสิ่งใดขอให้มีการแจ้งให้กรมศิลปากรทราบพร้อมทั้งส่งแบบแปลนให้ด้วย เพื่อที่จะได้ข้อแนะนำได้แล้วแต่กรณี
ในการสำรวจพื้นที่ของวัดผาลาด ก่อนที่จะมีการรายงานเสนอขอยกฐานะ พบว่าวัดอายุกว่า 400 ปี แห่งนี้ มีเนื้อที่ประมาณ 237 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย แต่ได้มีการกันพื้นที่ออกมาแล้ว โดยสภาพความเป็นวัดร้างที่ปรากฏมีสิ่งก่อสร้าง ได้แก่ เจดีย์เก่าแบบพม่า 1 องค์ วิหารเก่าแบบล้านนา 1 หลัง และแนวกำแพงรวมทั้งสิ่งปรักหักพังของอิฐเก่า ขณะที่มีสิ่งก่อสร้างใหม่ ได้แก่ กุฏิสร้างด้วยไม้แข็ง 6 หลัง ที่พักอุบาสกอุบาสิกาสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไฟฟ้า ประปา และถนนลำลองเข้าสู่วัด ทั้งนี้จากพื้นที่ทั้งหมดของวัดมีเพียง 30 ไร่เท่านั้นที่อนุญาตให้ทำการก่อสร้างใหม่ขึ้นได้