xs
xsm
sm
md
lg

พล.อ.บัณฑิต พิริยาสัยสันติ ตัวแทน ฟูเจี้ยนฯ “ใครจะเรียกว่า ผู้ผูกขาดก็ยอม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บทสัมภาษณ์ พล.อ. บัณฑิต พิริยาสัยสันติ นายทหารนอกราชการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในประเทศไทยจากบริษัทฟูเจี้ยนหลงเจียง จากประเทศจีน ในการเจรจาแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้งกับรถล้อยางหุ้มเกราะ ซึ่งล่าสุด ฟูเจี้ยนฯ เสนอตัวจะเข้ามารับซื้อลำไยส่วนที่เหลือของปี 2548 ในรูปอบแห้ง เพิ่มเติมจากส่วนที่ตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนกับอาวุธไปก่อนหน้านี้แล้ว

- พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ขอให้ช่วย

ผมเคยเป็นผ.บ.โรงเรียนเสนาธิการทหาร เคยเป็นผ.บ.สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูงและที่ปรึกษาพิเศษสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เกษียณเมื่อปี 2546 แล้วก็มาทำงานการเมืองที่บ้านเกิดจังหวัดลำพูน เป็นคนลำพูนบ้านอยู่ฉางข้าวน้อย เขียนไปได้เลยว่าเป็นคนยอง (ยอง-ชาวไทลื้อสายหนึ่งจากเมืองยอง เป็นประชากรส่วนใหญ่ในอำเภอป่าซางจังหวัดลำพูน) แล้วก็มาร่วมทีมช่วยเหลือ หนานหล้า คุณสมาน ชมพูเทพ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน(อบจ.ลำพูน )

ตอนที่ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (มิถุนายน2547) ท่านนายกฯ ทักษิณ เดินทางไปประเทศจีนและเจรจาขอแลกลำไยอบแห้งกับอาวุธ โดยเจรจาที่จำนวน 1 แสนตัน ให้ท่านพล.อ.สัมพันธ์ ดูแลบาร์เตอร์เทรดรายการนี้ ซึ่งต่อมา ท่านพล.อ.สัมพันธ์ มองเห็นว่าผม เป็นนายทหารอยู่ในลำพูน รู้เรื่องนี้ จึงมอบหมายให้ดำเนินการเรื่องการจัดการแลกเปลี่ยนลำไยกับอาวุธโดยตรง

-การได้รับเลือกเป็นตัวแทนของบริษัทฟูเจี้ยนฯ

ปริมาณลำไยอบแห้งปี 2546 และ 2547 มีรวมกันประมาณ 6.7 หมื่นตัน จึงจะมีมูลค่ามากพอที่จะเอาไปแลกกับรถ กระทรวงกลาโหมประชุมกันอยู่ถึง 11 ครั้ง ต่อรองกันจนได้ข้อสรุปมูลค่าลำไยอบแห้งจำนวนนี้ที่ 2,093 ล้านบาท โดยที่บริษัทฟูเจี้ยนหลงเจียง เป็นตัวแทนรัฐบาลจีนในการดำเนินการเรื่องนี้กับทางฝ่ายไทย ซึ่งตกลงกันว่าบริษัทจะรับซื้อลำไยอบแห้งจำนวนนี้ทั้งหมด แลกกับรถล้อยางหุ้มเกราะ ทั้งนี้เคยมีผู้ที่เสนอจะขอซื้อลำไยแห้งจำนวนนี้ด้วยเงิน 1,700 ล้านบาท แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะเป็นจำนวนเงินที่ไม่เพียงพอต่อการซื้อรถล้อยางหุ้มเกราะตามที่ต้องการ

ที่ผ่านมาบริษัทนี้ไม่มีใครเป็นธุระดำเนินการใดๆ ให้ในประเทศไทย เพราะแต่ละรายที่จะเข้ามาเป็นตัวแทนให้ต่างถูกโจมตีจนเสียหายหมด ก็พอดีว่าอดีตตอนรับราชการผมเคยเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหาร ที่ทางจีนเคยส่งทหารมาเรียนด้วยหลายนาย ทางทูตจีนเขาก็เคยมาตรวจเยี่ยม ได้มีโอกาสต้อนรับและบรรยายสรุปต่างๆ ให้รับทราบ แล้วก็มีความสนิทสนมกันมากขึ้นตามลำดับ มีการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะจนมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกันมาก

พอดีทูตท่านนี้ก็เป็นคนเดียวกันกับที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลจีนเจรจาเรื่องแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้งกับรถล้อยางหุ้มเกราะ เขาจึงแนะนำผมให้กับทางบริษัท และมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน 48

-เสนอเงื่อนไขใหม่ เหมาอบแห้งปี 48

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 48 ผมก็พาคณะเข้าพบคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้ง

ประโยคแรกท่านรัฐมนตรีถามว่าหนักใจอะไรบ้าง ?

ก็ตอบตามตรงบอกว่า หนักใจที่สุดเรื่องที่การรับลำไยอบแห้งเก่าของปี 46 และ 47 เป็นระยะที่ใกล้กับการที่ลำไยปี 48 ปี กำลังจะออกพอดี จึงเกรงว่าอาจจะมีเอกชนรายอื่นมากว้านซื้อไปแล้วไปตัดราคา จะทำให้บริษัทไม่สามารถขายของได้ ดังนั้นจึงร้องขอไปว่าถ้าเป็นไปได้ทางบริษัทอยากจะเสนอซื้อลำไยอบแห้งทั้งหมดของปี 48 ด้วย โดยจะให้ราคาเกรดเอเอ กิโลกรัมละ 70-72 บาท เกรดเอ กิโลกรัมละ 50-54 บาท และเกรดบีกิโลกรัม 30-34 บาท

ทั้งนี้ ลำไยอบแห้งดังกล่าวอยากให้ดำเนินการแปรรูปโดยเกษตรกร ด้วยการที่รัฐให้กู้เงินทุนหมุนเวียนไร้ดอกเบี้ยให้กับกองทุนหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการนำไปให้เกษตรกรกู้ยืมในการอบแห้งลำไย แล้วทางบริษัทรับซื้อโดยตรงจากเกษตรกรในราคาประกันนี้เลย ซึ่งการดำเนินการนี้คาดว่า รัฐน่าจะใช้งบประมาณราว 1,200 ล้านบาทเท่านั้น แต่เป็นเงินที่ไม่สูญหายไปไหน เพราะมีสัญญากู้ยืม มีผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว โดยข้อเสนอนี้ทางรัฐมนตรีได้รับที่จะไปพิจารณา และเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 48 ได้เอาร่างเอ็มโอยู เสนอให้รัฐมนตรีพิจารณาแล้ว ทั้งนี้คาดว่าปริมาณลำไยอบแห้งของปี 48 น่าจะมีราว 120,000-150,000 ตัน

ซึ่งคุณหญิงฯ บอกว่า ถ้าจะซื้อของปี 48 ต้องจ่ายเป็นเงินสดนะ

ตอนนี้กระทรวงฯยังไม่แจ้งว่า พิจารณาข้อเสนอของเราเช่นไร บอกแค่ว่าจะรีบตัดสินใจให้เร็วที่สุด ก็คงต้องรอให้การจัดการเรื่องการกระจาย ลำไยสดชัดเจนเสียก่อน

- บทบาทในการเป็นตัวแทนฟูเจี้ยนฯ

วันที่ 13 พฤษภาคม 48 ได้มีการลงนามสัญญาร่วมกันระหว่างตัวแทนฝ่ายไทย กับตัวแทนรัฐบาลจีนไปแล้ว โดยแบ่งเป็น 3 ข้อตกลง คือ 1.เอ็มโอยู โครงการลำไยอบแห้งแลกรถล้อยางหุ้มเกราะ 2.ข้อตกลงการแลกลำไยอบแห้งกับรถล้อยางหุ้มเกราะ และ 3.ข้อตกลงการซื้อขายลำไย ซึ่งขั้นตอนหลังจากการลงนามแล้วจะเป็นในส่วนของการเปิดโกดัง ตรวจสอบคุณภาพลำไย การบรรจุคอนเทนเนอร์ และการขนส่ง

ที่จริงแล้วการเข้ามาอยู่ตรงนี้ เป็นเพราะต้องการที่จะช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับเกษตรกรชาวสวนลำไย ไม่ได้เข้ามาจับผิดใคร เพียงแต่ต้องการจัดหาลำไยอบแห้งให้ครบตามจำนวนที่ต้องการจะนำไปแลกรถให้ได้และทำให้ชาวสวนขายผลผลิตได้ราคาเท่านั้น

ขณะที่การเข้ามาของฟูเจี้ยนฯ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นมาเฟียเข้ามาผูกขาดลำไยอบแห้ง แต่ที่จริงแล้วเป็นการเข้ามาให้ความช่วยเหลือกันโดยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ เพราะฟูเจี้ยนฯ นี้ เป็นเหมือนกับรัฐวิสาหกิจรายหนึ่งของจีน ดังนั้นการมองว่าเป็นการผูกขาดไม่ถูก เพราะเป็นการเข้ามาสร้างการแข่งขันมากกว่า ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาสูงขึ้น ไม่ใช่กดราคาเหมือนที่ถูกกระทำมาตลอด ซึ่งหากใครจะเรียกว่าเป็นผู้ผูกขาดก็ยอม แต่ถามว่าหากมีคนผูกขาดอย่างนี้ที่ให้ราคาผลผลิตสูงๆ กับเกษตรกรแล้ว เป็นผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน?

-ฟูเจี้ยนฯยักษ์ใหญ่ ?

คำถามที่ว่า ฟูเจี้ยนฯ ทำอะไรในจีนนั้นตอบยาก รู้แค่ว่า ฟูเจี้ยนหลงเจียง เป็นยักษ์ใหญ่ระดับ 1 ใน 5 ของประเทศจีน เฉพาะเงินทุนจดทะเบียน ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท

หลายคนมองว่า ฟูเจี้ยนฯ ไม่มีความรู้เรื่องลำไยจะมาทำอะไรได้ แต่นี่เป็นตัวแทนของรัฐบาลเขา เหมือนกับเป็นรัฐวิสาหกิจ ถ้าทำแบบบริสุทธิ์ใจ ตั้งราคาซื้อ34-72 บาทแบบนี้ แล้วก็ทำได้ด้วย ถามว่า ชาวบ้านจะยินดีไหม

- ปัญหาในการขนส่งลำไยแลกอาวุธ ..ไม่มีค่าปรับ ?

เดิมนั้น เงื่อนไขที่ทำสัญญากันไป ฟูเจี้ยนฯ จะต้องวางเงินภายใน 7 วัน และต้องเปิดโกดัง ทำคิว.ซี. และ ขนส่งภายใน 77 วัน ก็คือ 77+7 ที่ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ

แต่ว่าในวันที่ตรวจร่างสัญญา ทางฟูเจี้ยนฯได้แจ้งกับฝ่ายไทยว่า นี่เป็นการช่วยเหลือกันแบบ จีทูจี หากว่าทำสัญญาจะปรับเงิน 25% ของวงเงินหากทำไม่เสร็จ นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือกันแล้ว จีนก็บอกว่า ถ้าจีนจะขอปรับบ้าง เช่น เปิดโกดัง A. ที่ฝ่ายไทยบอกว่า มีลำไยอยู่ 100 กล่องของจริงมีแค่ 20 กล่อง จะขอปรับบ้างได้ไหม ..ถ้าทำแบบนี้ไม่รู้ว่าจีนหรือไทยจะต้องจ่ายเงินมากกว่ากัน

เอาเป็นว่า เงื่อนไข 77 วัน ต้องขนส่งออกไปนั้น ก็จะดำเนินการต่อ แต่หากว่า ฟูเจี้ยนฯ ได้สัญญาลำไยอบแห้งของปี 2548 แล้ว คงต้องระบายของใหม่เข้าตลาดจีนไปก่อน ส่วนของเก่า ปี 46-47 อยู่ในโกดังต่ออีกสักปีคงไม่มีปัญหา เพราะมีแนวโน้มว่า ลำไยของปี 2549 เหลือน้อยแน่ มันเป็นวงจรธรรมชาติ ถ้าปีนี้ออกมาก ปีหน้าต้องต่ำแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นค่อยระบายปี 46-47 ออกไปคงไม่สาย
ส่วนเรื่องการส่งมอบรถเกราะนั้น ดูจากสัญญาแล้ว คงยังต้องรออีกระยะหนึ่ง ไม่ใช่ว่า หากไม่ขนลำไยเข้าไปทันทีก็จะไม่ได้รถ

-ระบายลำไยสดปี 48 ออกนอก อาจจะมีปัญหา เหลือทำอบแห้ง

เชื่อว่า คุณหญิงสุดารัตน์ทำได้ แนวนโยบายนี้ของกระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องการเน้นขายลำไยสด โดยเฉพาะการกระจายออกไปสู่ตลาดต่างประเทศนั้น โดยส่วนตัวมองว่าเป็นแนวความคิดที่ดีและน่าชื่นชม หากสามารถทำได้จริง อย่างไรก็ตามมองว่าการดำเนินการตามแนวทางนี้ยังมีปัญหาอุปสรรคอยู่ เพราะตามปกติลำไยเป็นผลไม้ที่อายุสั้น แต่การส่งออกต้องใช้เวลานาน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ผลผลิตจะเสียหายระหว่างการขนส่ง ซึ่งนี่ยังไม่รวมไปถึงข้อจำกัดเรื่องการขนส่งที่มีพื้นที่รองรับจำกัดอีกด้วย ทั้งนี้มองว่าการบริหารจัดการผลผลิตลำไยจำเป็นจะต้องดำเนินการควบคู่กันไปทั้งการขายสด และแปรรูปเป็นลำไยอบแห้ง จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
กำลังโหลดความคิดเห็น