นครปฐม - คลื่นมหาชนแห่เช่าบูชาขุนแผนวัตถุมงคล "หลวงพ่อพูล" รุ่นสุดท้ายก่อนมรณภาพแน่นวัด รักษาการเจ้าอาวาสเผยหลวงพ่อยังห่วงการก่อสร้างเมรุเผาแบบใช้ไฟฟ้ามูลค่า 35 ล้านบาท เพื่อเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายก่อนละสังขาร เผยหลวงพ่อพูลกำสายสิญจน์ปลุกเสกแน่น หวังเป็นเครื่องรางรุ่นสุดท้ายให้ประชาชนบูชานึกถึงความดี
บรรยากาศภายในวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม หลังการมรณภาพของพระมงคลสิทธิการ หรือ "หลวงพ่อพูล อัตตรักโข" เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อายุ 94 ปี 68 พรรษา ด้วยโรค ปอด ลิ้นหัวใจรั่วและเลือดออกในกระเพาะอาหาร เมื่อเวลา 14.55 น.เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นวันเปิดให้เช่าบูชาเครื่องรางพระขุนแผน-กุมารทอง เป็นวันแรก
หลังจากที่หลวงพ่อพูล ได้กลับมาทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ (24 พ.ค.) เนื่องจากมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินับพันคนได้พร้อมใจกันแห่เข้ามาบูชาเครื่องรางขุนแผน-กุมารทอง หลังทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อพูล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้ทางคณะสงฆ์ของวัดไผ่ล้อมได้มีการประชุมกันภายใน และแต่งตั้งให้พระครูวินัยธรจิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” ผู้ที่ดูแลและใกล้ชิดกับกับหลวงพ่อพูลมาตลอด และ้ป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ให้เป็นประธานในการพิธีศพของหลวงพ่อพูลจนเสร็จสิ้น และคอยดูแลกิจการต่างๆ ภายในวัด ที่มีพระลูกวัดจำนวน 40 รูป ก่อนจะมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
โดยพระครูวินัยธรจิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” อายุ 36 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า สำหรับในพิธีของทางวัดในวันนี้ (24 พ.ค.) คณะลูกศิษย์ลูกหาจะได้นำร่างของหลวงพ่อพูลออกจากโรงพยาบาลสมิติเวช เวลา 07.00 น.โดยจะมีขบวนรถของตำรวจทางหลวงนำขบวน มาถึงวัดไผ่ล้อมเวลา 09.00 น.
จากนั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช จะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีพระราชทานน้ำสรงศพ โดยมีนายไชยา สะสมทรัพย์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฯ และ ส.ส.เขต 4 พรรคไทยรักไทย จ.นครปฐม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
จากนั้นจะมีพิธีนำศพของหลวงพ่อพูลให้ประชาชนได้สักการะ และบรรจุลงโลงไม้สัก ซึ่งจะทำการสวดอภิธรรม เป็นเวลา 100 วัน จากนั้นจะทำการบรรจุในโลงแก้ว และไปตั้งไว้ที่กุฏิของหลวงพ่อพูล เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้สักการะ และระลึกถึงความดีที่หลวงพ่อพูลได้สร้างไว้ตลอดไป
พระครูวินัยธรจิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” กล่าวอีกว่า หลังจากที่หลวงพ่อพูลได้อาพาธ ได้กำชับเรื่องการก่อสร้างเมรุแบบเผาด้วยระบบไฟฟ้า ที่กำลังก่อสร้างอยู่ได้ 70% แล้ว โดยมีมูลค่าถึง 35 ล้านบาท ว่าเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่หลวงพ่อพูลอยากจะสร้างไว้ เนื่องจากปัจจุบันตัววัดไผ่ล้อมอยู่กลางเมือง และเมรุของทางวัดยังเป็นระบบเผาด้วยฟืนอยู่ ซึ่งอยู่ติดกับชุมชนและโรงเรียน จึงอาจะทำให้สุขภาพของคนใกล้วัดไม่แข็งแรง จึงได้เร่งจัดสร้างเมรุหลังดังกล่าวให้แล้วเสร็จ เพราะเงินที่จะใช้ในการก่อสร้างก็ยังมีไม่พอ
โดยต้องนำเงินไปรักษาหลวงพ่อพูลที่ผ่าตัดหัวใจถึง 7 ล้านบาท โดยจะใช้วิธีหยิบยืมแล้วใช้คืนทีหลัง ซึ่งหลวงพ่อพูลยังได้ได้กำชับว่า ให้ช่วยดูแลวัดให้ดี มีความเจริญสืบไปและห้ามไปขอเงินใครให้เดือดร้อน
โดยหลังจากหลวงพ่อพูลได้เข้าผ่าตัดลิ้นหัวใจที่โรงพยาบาลสมิืติเวช ทางคณะแพทย์ได้อนุญาตให้กลับมารักษาตัวที่วัดไผ่ล้อม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ทางวัดได้มีพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลพระขุนแผน-กุมารทอง ภายในวัดในที่กลางแจ้ง หน้าพระอุโบสถ ซึ่งตอนนั้นหลวงพ่อพูลได้นอนพักผ่อนอยู่ในกุฎิ ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงของพระสงฆ์ที่ปลุกเสกอยู่ด้านนอก หลวงพ่อพูลได้ลุกขึ้นนั่งและกำสายสิญจน์ที่เข้าโยงมาจากพิธี และนั่งเพ่งกสิน
สังเกตได้ว่าเป็นความตั้งใจของหลวงพ่อ เนื่องจากมือทั้ง 2 ข้างของหลวงพ่อพูลได้กำสายสิญจน์จนแน่น และจู่ๆ ช่วงนั้นได้มีเมฆครึ้มเข้ามาปลกคลุมวัด โดยมีสายลมรุนแรง และฟ้าร้องสนั่น ซึ่งทางพระสงฆ์และเจ้าหน้าที่ภายในวัดเกรงว่าจะเกิดฝนตกหนัก จึงได้เดินไปกระซิบที่หูของหลวงพ่อพูลว่าฝนจะตกหนัก โดยหลวงพ่อพูลได้พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มสวดมนต์ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดเมื่อเมฆฝนที่ปกคลุมอยู่เหนือวัดนั้นกลับจากหาย และฝนได้ตกรอบตัววัด แต่ในวัดไม่มีเม็ดฝนสักเม็ดเดียว
บรรยากาศภายในวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม หลังการมรณภาพของพระมงคลสิทธิการ หรือ "หลวงพ่อพูล อัตตรักโข" เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อายุ 94 ปี 68 พรรษา ด้วยโรค ปอด ลิ้นหัวใจรั่วและเลือดออกในกระเพาะอาหาร เมื่อเวลา 14.55 น.เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นวันเปิดให้เช่าบูชาเครื่องรางพระขุนแผน-กุมารทอง เป็นวันแรก
หลังจากที่หลวงพ่อพูล ได้กลับมาทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ (24 พ.ค.) เนื่องจากมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินับพันคนได้พร้อมใจกันแห่เข้ามาบูชาเครื่องรางขุนแผน-กุมารทอง หลังทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อพูล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้ทางคณะสงฆ์ของวัดไผ่ล้อมได้มีการประชุมกันภายใน และแต่งตั้งให้พระครูวินัยธรจิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” ผู้ที่ดูแลและใกล้ชิดกับกับหลวงพ่อพูลมาตลอด และ้ป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ให้เป็นประธานในการพิธีศพของหลวงพ่อพูลจนเสร็จสิ้น และคอยดูแลกิจการต่างๆ ภายในวัด ที่มีพระลูกวัดจำนวน 40 รูป ก่อนจะมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
โดยพระครูวินัยธรจิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” อายุ 36 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า สำหรับในพิธีของทางวัดในวันนี้ (24 พ.ค.) คณะลูกศิษย์ลูกหาจะได้นำร่างของหลวงพ่อพูลออกจากโรงพยาบาลสมิติเวช เวลา 07.00 น.โดยจะมีขบวนรถของตำรวจทางหลวงนำขบวน มาถึงวัดไผ่ล้อมเวลา 09.00 น.
จากนั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช จะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีพระราชทานน้ำสรงศพ โดยมีนายไชยา สะสมทรัพย์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฯ และ ส.ส.เขต 4 พรรคไทยรักไทย จ.นครปฐม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
จากนั้นจะมีพิธีนำศพของหลวงพ่อพูลให้ประชาชนได้สักการะ และบรรจุลงโลงไม้สัก ซึ่งจะทำการสวดอภิธรรม เป็นเวลา 100 วัน จากนั้นจะทำการบรรจุในโลงแก้ว และไปตั้งไว้ที่กุฏิของหลวงพ่อพูล เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้สักการะ และระลึกถึงความดีที่หลวงพ่อพูลได้สร้างไว้ตลอดไป
พระครูวินัยธรจิตติพงษ์ กิตติจิตโต หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” กล่าวอีกว่า หลังจากที่หลวงพ่อพูลได้อาพาธ ได้กำชับเรื่องการก่อสร้างเมรุแบบเผาด้วยระบบไฟฟ้า ที่กำลังก่อสร้างอยู่ได้ 70% แล้ว โดยมีมูลค่าถึง 35 ล้านบาท ว่าเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่หลวงพ่อพูลอยากจะสร้างไว้ เนื่องจากปัจจุบันตัววัดไผ่ล้อมอยู่กลางเมือง และเมรุของทางวัดยังเป็นระบบเผาด้วยฟืนอยู่ ซึ่งอยู่ติดกับชุมชนและโรงเรียน จึงอาจะทำให้สุขภาพของคนใกล้วัดไม่แข็งแรง จึงได้เร่งจัดสร้างเมรุหลังดังกล่าวให้แล้วเสร็จ เพราะเงินที่จะใช้ในการก่อสร้างก็ยังมีไม่พอ
โดยต้องนำเงินไปรักษาหลวงพ่อพูลที่ผ่าตัดหัวใจถึง 7 ล้านบาท โดยจะใช้วิธีหยิบยืมแล้วใช้คืนทีหลัง ซึ่งหลวงพ่อพูลยังได้ได้กำชับว่า ให้ช่วยดูแลวัดให้ดี มีความเจริญสืบไปและห้ามไปขอเงินใครให้เดือดร้อน
โดยหลังจากหลวงพ่อพูลได้เข้าผ่าตัดลิ้นหัวใจที่โรงพยาบาลสมิืติเวช ทางคณะแพทย์ได้อนุญาตให้กลับมารักษาตัวที่วัดไผ่ล้อม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ทางวัดได้มีพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลพระขุนแผน-กุมารทอง ภายในวัดในที่กลางแจ้ง หน้าพระอุโบสถ ซึ่งตอนนั้นหลวงพ่อพูลได้นอนพักผ่อนอยู่ในกุฎิ ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงของพระสงฆ์ที่ปลุกเสกอยู่ด้านนอก หลวงพ่อพูลได้ลุกขึ้นนั่งและกำสายสิญจน์ที่เข้าโยงมาจากพิธี และนั่งเพ่งกสิน
สังเกตได้ว่าเป็นความตั้งใจของหลวงพ่อ เนื่องจากมือทั้ง 2 ข้างของหลวงพ่อพูลได้กำสายสิญจน์จนแน่น และจู่ๆ ช่วงนั้นได้มีเมฆครึ้มเข้ามาปลกคลุมวัด โดยมีสายลมรุนแรง และฟ้าร้องสนั่น ซึ่งทางพระสงฆ์และเจ้าหน้าที่ภายในวัดเกรงว่าจะเกิดฝนตกหนัก จึงได้เดินไปกระซิบที่หูของหลวงพ่อพูลว่าฝนจะตกหนัก โดยหลวงพ่อพูลได้พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มสวดมนต์ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดเมื่อเมฆฝนที่ปกคลุมอยู่เหนือวัดนั้นกลับจากหาย และฝนได้ตกรอบตัววัด แต่ในวัดไม่มีเม็ดฝนสักเม็ดเดียว