xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ"สนธิ"ชี้ทางรอดร้านขายยาไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวขอนแก่น - “สนธิ”แนะร้านขายยาทั่วประเทศปรับตัวเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจขายยาที่นายทุนใหญ่ข้ามชาติกำลังรุกเข้ามาแชร์ตลาดระดับชุมชน ชี้เภสัชกรต้องสร้างศรัทธา ความเชื่อมั่นในบริการให้ชุมชนมากกว่าขายเพื่อผลกำไรเพียงอย่างเดียว พร้อมกับศึกษาองค์ความรู้สมุนไพรใกล้ตัวเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่า

เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2548 ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “โลกาภิวัตน์ ความเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจร้านขายยาและเศรษฐกิจผลกระทบต่อร้านขายยาในประเทศไทย” เนื่องในงานประชุมใหญ่ชมรมร้านขายยาแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น โดยมีสมาชิกชมรมร้านขายยาทั่วประเทศเข้าร่วมรับฟังปาฐกถาพิเศษในประเด็นดังกล่าวประมาณ 3,000 คน

ประเด็นที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปาฐกถาครั้งนี้ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ จึงถอดความมาเผยแพร่ให้ได้อ่าน

นายสนธิ กล่าวว่า " ชุมชนนั้นเป็นหัวใจของสังคม คำว่า "ชุมชน" มีนัยมาก สมัยก่อนแม่ผมเคยเปิดร้านขายกาแฟ บริเวณปากซอยสารภี ถนนประชาธิปก สมัยนั้นยังเป็นจังหวัดนนทบุรีจำได้ว่าร้านกาแฟของแม่นั้นเป็นร้านของชุมชน เพราะคนในซอยสารภีต่างรู้จักร้านกาแฟร้านนี้กันหมด จะมาซื้อของ ซึ่งร้านของแม่จะขายข้าวสาร น้ำปลา มีสบู่ มีผงซักฟอก ผมจำได้ว่าร้านกาแฟแห่งนี้เป็นชุมชนเป็นแหล่งซุบซิบนินทา ไม่ว่าจะลูกใครท้องไม่มีพ่อ ท้องกับใคร ใครเป็นชู้กับใคร ใครมีเมียน้อยอยู่ที่ไหน หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าช่วยมันหน่อยเถอะสงสารมัน ยายมันเพิ่งตาย

ร้านกาแฟหรือร้านโชห่วย ก็เลยกลายเป็นศูนย์รวมของชุมชน ถัดจากร้านกาแฟของแม่ไปสักไม่เกิน 50 ก้าว ก็เป็นร้านขายยา ร้านขายยาขนาด 1 คูหา ตึกสองชั้นเก่าๆ มีอาแปะคนหนึ่งเป็นคนขายยา แต่ช่วงหลังยังมีแต่ร้านขายยาเท่านั้นที่จะเป็นตัวหลักในการช่วยสานสัมพันธ์ชุมชนต่างๆ เหล่านี้ได้

แต่ท่านผู้มีเกียรติครับ วันเวลาของการถูกท้าทายด้วยโลกาภิวัตน์ในการค้ายุคใหม่ กำลังจะก้าวเข้ามาแล้วท้าทายความเป็นอยู่ ความเป็นความตายของชุมชนที่ร้านขายยา มันได้เข้ามาแล้ว มันเป็นภาวะการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบันร้านขายยาในกรุงเทพฯ กลายเป็นการลงทุนในระดับที่เป็นเชนมี 7-8 ร้าน มี 2 ร้าน ลงทุนโดยเอาอาชีพ ชูเพื่อเป็นตัวเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ เหมือนกับการที่ไปเซ้งตึกอยู่ 14 ห้อง แล้วจ้างเภสัชกรที่เรียนจบออกมาไปบริหารร้านขายยาที่อยู่ตามตึกต่างๆ แล้วแบ่งผลกำไรให้ เขาก็ซื้อยาแต่ละครั้งเป็นล็อต และขายเอามาร์จินที่ต่ำที่สุด อาจจะเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิน ยอดขายเขาปีละ 1,200 ล้าน เขาก็ได้ปีละ 12 ล้าน นั่นคือกำไรที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว

เปรียบไปแล้วนี่คือการเล่นกับอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้อาชีพการขายยาเป็นตัวหากำไรทำมาเลี้ยงชีพของเขา หาเงินส่งค่าผ่อนตึก อุปมาอุปมัยเหมือนกับการที่ท่านไปสร้างคอนโดหรืออพาร์ตเมนต์ เอาเงินดาวน์ก้อนหนึ่งไปวาง แล้วเอาค่าเช่าไปจ่ายแบงก์ ถึงจุดๆ หนึ่งมูลค่าคอนโดก็จะสูงขึ้น หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาก็อาจขายทิ้งไป

 นอกจากนี้เขาอาจจะขยายเชนร้านขายยาไปจังหวัด อำเภอต่างๆ นี่เป็นการทำการค้าเชนดรักสโตร์ของคนไทย ยังไม่ถึงขั้นที่ฝรั่งกำลังจะรุกเข้ามา

ระบบการค้าแบบทุนนิยมดังกล่าวได้ทำลายกิจการร้านค้าของคนไทยไปนักต่อนัก แม้แต่ร้านกาแฟหรือโชห่วย ที่ถือเป็นเสมือนหนึ่งศูนย์รวมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือศูนย์กลางการวิพากษ์วิจารณ์ของคนในชุมชน เพราะไม่สามารถทนการแข่งขันการค้าระบบทุนนิยมได้ แม้แต่ร้านขายยาในชุมชนเองขณะนี้ก็กำลังจะถูกคุกคามอย่างหนัก เป็นภาวะการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าคนที่อยู่ต่างจังหวัดจะรู้สึกได้ช้ากว่าในกรุงเทพฯ

กิจการขายยา เป็นกิจการที่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็เข้ามาได้ เพราะเป็นกิจการที่สืบทอดกันเป็นรุ่นๆ จะเห็นได้ว่าเภสัชกรที่จบออกมา ทุกๆ 5 ใน 10 คน หรือ 3-4 ใน 10 คน ล้วนเป็นลูกหลานของร้านขายยา ที่เหลือเป็นเภสัชกรที่เรียนจบออกมาเพื่อไปทำเป็นวิชาชีพ

เพราะฉะนั้นสถานะของร้านขายยาไม่ได้ต่างจากร้านโชห่วย ที่ตกอยู่ในสถานะง่อนแง่น เพียงแต่ในยุคสมัยหนึ่งร้านขายยาอยู่กันได้แบบสบายๆเพราะเป็นอาชีพเฉพาะกิจ ไม่ใช่นึกอยากเซ้งตึกสักคูหาแล้วก็ไปซื้อข้าวสาร น้ำปลา สบู่แล้วก็เปิดขายได้ ต้องเป็นคนมีความรู้เรื่องยา รู้ตำรายา รู้ว่ายาตำรับนี้รักษาโรค อาการป่วยได้เท่านั้น ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ลักษณะของร้านขายยาเป็นชมรมหรือสโมสรเฉพาะที่หาคนเข้ามาร่วมยาก แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังจะเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

ร้านขายยาที่เห็นกันตามห้องแถวหรือในชุมชน ทั้งในระดับจังหวัด หรืออำเภอ ตำบลหรือแม้แต่ระดับหมู่บ้านนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาในสังคมไทยตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีมากขึ้นในปี พ.ศ.2500 ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกับอายุของชมรมร้านขายยาแห่งประเทศไทยที่รวมตัวกันมาได้ถึง 31 ปี หากผมจำไม่ผิด

เพราะอาจารย์ประวิทย์ อัครชิโนเรศ หนึ่งในผู้ริ่เริ่มก่อตั้งชมรมฯบอกว่าที่จริงแล้วการประชุมครั้งนี้ เป็นปีที่ 31 แต่ในยุคของอาจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีได้มีกฏอัยการศึก ห้ามชุมนุม ประชุม

30 ปีของการเกิดขึ้นของชมรมร้านขายยาในประเทศไทย สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องหรือคนรุ่นใหม่ที่รับสืบทอดมรดกต่อมา ต้องรู้ว่าเป็น 30 ปีของการรวมตัวเพื่อต่อสู้กับบริษัทยาต่างชาติที่เข้ามาแย่งตลาดรังแกร้านขายยาเล็กๆ เหล่านี้ ในการกำหนดราคาที่ไม่มีเหตุผล

ท่านรองเลขาธิการอย. ท่านพูดว่า ยาที่จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วประเทศ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่ายาทั้งหมด มูลค่า 1,2000 ล้านบาท เป็นมูลค่ายาที่เป็นวอลุ่มเทรดที่อยู่ในร้านขายยาทั่วประเทศไทย

คำว่า "โลกาภิวัตน์" นั้นมีองค์ประกอบอยู่ 4 ส่วน องค์ประกอบแรกคือ Cross Cultural ซึ่งมีนัยค่อนข้างลึกซึ้งพอสมควร เป็นองค์ประกอบที่วัฒนธรรมต่างถิ่น วัฒนธรรมอื่นๆไหลเวียนข้ามไปมาซึ่งกันและกัน

ประการที่ 2 Diversity หรือความหลากหลาย ปริมาณสินค้าที่มีให้เลือกจำนวนมากในตลาด หากดูบูทร้านขายยาที่แสดงอยู่ชั้นล่างห้องประชุมแห่งนี้ จะเห็นว่ามีกว่า 100 บูท สมัยที่แม่ผมขายกาแฟหรือโชห่วย ผมจำได้ตอนเด็กๆ สบู่ในร้านมีอยู่แค่ 4 ยี่ห้อ มีสบู่ลักษ์ สบูคาเมล สบู่นกแก้วและสบู่ซันไลต์ แต่วันนี่หากส่งลูกส่งหลานไปซื้อสบู่ในห้างแม็คโคร โลตัส เด็กจะถามว่าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายจะเอาสบู่ยี่ห้ออะไร สบู่ผิวเนียน สบู่สำหรับคนผิวแห้ง สบู่ไม่มีกลิ่น สบู่ที่มีส่วนผสมของข้าว ฯลฯ มีมาก 40-50 ยี่ห้อ นั่นคือความหลากหลาย

รถยนต์ในสมัยก่อน รุ่นราวคราวเดียวกับผมคงจำได้ มีแค่โตโยต้าโคโรน่า โตโยต้าคราวน์ แต่สมัยนี้เรามีโตโยต้าอินโนว่า โตโยต้าวีออส มีแคมรี่,ฟอร์จูนเนอร์, เล็กซัส มากมายไปหมด นี่คือความหลากหลาย

ประการที่ 3 Networking คือการสร้างเครือข่ายให้เชื่อมโยงซึ่งกันและกันไปตลอดอย่างต่อเนื่อง และประการสุดท้าย Interdependent การพึ่งพาซึ่งกันและกัน

กระแสโลกกระแสการค้าต่างอยู่ภายใต้ปัจจัย 4 หัวข้อนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว แม็คโคร โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ เซเว่น-อีเลฟเว่น ฯลฯ ต่างใช้เงื่อนไขทั้ง 4 ด้านมาทำการค้า เช่น กรณี Cross Cultural สินค้าในห้างฯเหล่านี้เป็นของฝรั่งต่างชาติหมด แต่มาอาศัยทำธุรกิจในเมืองไทย วัฒนธรรมการจัดร้าน การวางของ การทำบัญชี ก็เป็นระบบหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นำเข้ามา

ขณะที่ Diversity เขาก็ทำได้ เช่น มุมหนึ่งของห้างแม็คโคร เขาสามารถจัดพื้นที่ขายเหล้า บุหรี่ได้ ส่วนอีกมุมหนึ่งก็เปิดเป็นร้านขายยา ได้ เพราะเขาถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของ Diversity ส่วนร้านขายยาที่พวกท่านทำอยู่จะทำอย่างนั้นไม่ได้ ขณะที่ Networking เขามีเครือข่ายเชื่อมโยงซึ่งกันและกันหมด เขาซื้อของเป็นล็อต ราคาย่อมถูกกว่าที่คุณซื้อและสั่งเป็นครั้ง ๆ ไป"

นายสนธิกล่าวย้ำว่า ทั้ง Cross Cultural, Diversity, Networking และ Interdependent ล้วนเป็นกติกาของโลกอันใหม่ที่มันรุกเข้ามาในประเทศไทย รุกเข้าไปทั่วโลก รุกเข้ามาในกิจการการค้าของไทย อย่างกรณีโชห่วย หรือร้านขายกาแฟในชุมชน เป็นตัวอย่างที่ได้รับผลกระทบจากการค้ายุคโลกาภิวัตน์ ระบบโรงแรมหลายๆแห่งก็เรียบร้อยไปแล้ว เพราะหากเป็นเชนแล้ว หาลูกค้าได้ไม่ยาก เพราะทำตลาดเป็นระบบเชื่อมโยงกัน

อาจมีคำถามว่า ทำไมโรงแรมโซฟิเทลในขอนแก่นถึงมีลูกค้าฝรั่งเข้าพักอย่างต่อเนื่อง ก็เพราะเขาเป็นเชนของแอคคอร์ ซึ่งเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่อันดับ 2 อันดับ 3 ของโลก ที่มีเครือข่ายการทำตลาดทั่วโลก บอกได้ว่าหากมาเมืองไทยก็ไปพักโรงแรมในเครือที่กรุงเทพฯโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซ่า หรือมาขอนแก่นก็เข้าพักที่โซฟิเทล ขณะที่โรงแรมโฆษะ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ก็ต้องพึ่งพาขายความเป็นไทยต่อไป

ธุรกิจร้านขายยาก็เช่นกัน ขณะนี้พวกเราเห็น WATSON เกิดขึ้นแล้ว และอีกไม่นานก็จะขยายสาขาไปถึงระดับอำเภอ รัฐบาลไทยแบ่งหลายหน่วยงานให้ดูแลเฉพาะ อย่าง อย.ก็ดูแลในเรื่องของกฎหมาย ดูแลในเรื่องของคุณภาพยา ต้อง make sure ว่ายาต้องไม่ปลอม ทั้งๆ ที่ในเมืองไทยของปลอมเยอะเหลือเกิน น้ำมันปลอม เครื่องใช้ไฟฟ้าปลอม ปากกาปลอม และที่มีเยอะพอสมควรคือคนปลอมในสังคมไทย

อย.ดูแลในเรื่องของกฎ กติกา ขณะที่เรื่องของการพาณิชย์ อย.ไม่มีหน้าที่ดูแล เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องดูแล แต่ก็ไม่มีใครดูแลอะไรทั้งสิ้น อย.ก็ดูแลเรื่องของกติกาไป แต่ก็ปล่อยให้ต่างชาติรุกเข้ามาตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นโอกาสเดียวที่ร้านขายยาของไทยจะอยู่ได้ ก็คือการสร้างสัมพันธ์กับชุมชนให้ลึกซึ้งและมากกว่าเดิม ร้านขายยาต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมากไปกว่าการยืนอยู่บนเคาน์เตอร์แล้วก็เปิดตู้เอารามินเซลไป รามินเซล เป็นยาซึ่งรักษาโรคเชื้อรา ผมรู้จักเพราะเคยใช้ แต่ตอนนี้เลิกใช้ไปแล้ว เท้าผมมันแห้ง เป็นผื่น ก็เลยเป็นตุ่มพอแกะแล้วคัน ผมไปหาหมอที่เปาโล เขาบอกเอารามินเซลไป ผมทาแล้วสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็กลับมาคันอีก ผมไปที่เมืองจีนไปเจอซินแซที่อยู่ตีนเขาบู๊ตึ๊ง ผมก็ยกเท้าให้ซินแซดู เขาก็พูดเป็นภาษาจีนกลางก็บอกว่า ไม่มีปัญหาลื้อกินน้ำน้อยไป แล้วบังคับให้ผมกินน้ำอุ่นวันละ 4 ถ้วย กินได้ 3 เดือนเท้าผมหายคัน ไม่ต้องใช้รามินเซล

ทำไมผมต้องยกตัวอย่างเรื่องนี้ขึ้นมา คือร้านขายยาต้องปรับบทบาทใหม่มากกว่ามุ่งขายยาเพียงอย่างเดียว ต้องมีกระบวนการแนะนำ เรื่องการรักษาสุขภาพให้กับคนที่เดินเข้ามาซื้อยา บทบาทใหม่ร้านขายยาต้องเกิด ไม่ใช่แค่จ่ายยารับเงิน เอาเงินเข้าเก๊ะแล้วพอถึงสิ้นเดือนมานั่งคิดบัญชีว่าเดือนนี้ได้กำไรเท่าไหร่

หากร้านขายยาร้านใดยังทำกันอย่างนี้ต่อไป วันหนึ่งข้างหน้าท่านก็จะโดนพวก เซเว่น-อีเลฟเว่น วัตสันหรือ อาร์-เอ็กซ ดรักสโตร์ใหญ่จากอเมริกามาบุก ซึ่งจะทะลุทะลวงทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ แล้ววันนั้นท่านจะแย่

แต่หากท่านผูกพันกับชุมชน เหมือนกับร้านขายยาร้านหนึ่ง อยู่แถวๆ ถนนสุโขทัย ขายยาโดยเภสัชกร เด็กที่บ้านไปซื้อยา ซึ่งเป็นโรคอะไรไม่ทราบ เภสัชกรเขาบอกว่าเดี๋ยวก่อน เป็นมานานหรือยัง เด็กก็เล่าให้ฟัง เขาก็บอกอย่าไปซื้อเลยยาตัวนี้ ไปรักษาแบบนี้ดีกว่าแล้วจะหาย ฟังดูแล้วแปลกๆ แทนที่จะได้กำไรจากยาตัวนี้แต่ก็ไม่ได้กำไร แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นการสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่นให้ชุมชนที่มีต่อร้านของคุณ ตัวนี้ต่างหากที่จะทำให้ร้านของคุณอยู่ได้ยั่งยืนตลอดไป

มนุษย์เราจะไม่ใช้ยาไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ยา ไม่ใช่คนๆ หนึ่งเช้าก็ซื้อพารา 10 เม็ด เย็นก็ซื้อพาราอีก อีก 3 วันก็ซื้อพาราอีก 10 เม็ด คนขายยาต้องรู้จักถามว่าทำไมต้องซื้อพาราไปมากมาย ไม่ใช่คิดแต่ว่าขอให้มาซื้อยาที่ร้านบ่อยๆ

นี่คือที่มาฉายา หรือนัยที่เรียกกันว่า "หมอตี๋" แต่เราจะเป็นหมอในเชิงของเพื่อน เป็นในเชิงที่แนะนำเขาได้ บอกเลยว่าลื้อจะกินแต่ยาพารามันไม่ดีต่อร่างกายลื้อนะ ขอให้มีคำพูดเช่นนี้ออกไปบ้าง เพราะเมื่อมีความศรัทธา เชื่อมั่นเกิดขึ้นแล้ว ความยั่งยืนในธุรกิจก็จะตามมาอย่างแน่นอน คุณต้องเริ่มเร่งสร้างสิ่งเหล่านี้ นอกเหนือจากคุณจะพัฒนาร้านขายยาแล้ว คุณภาพในเชิงความสัมพันธ์ชุมชนก็ต้องเริ่มพัฒนาเช่นกัน

อย่ามองแค่ว่ามีหน้าที่ขายยาแล้วก็จบ ไม่ใช่ เชื่อผมซิ ไม่อย่างนั้นวันข้างหน้าเมื่อมีร้านอะไรก็แล้วแต่มาเปิดในระดับแม็คโคร เช่น ร้าน 7-11 วันนั้นคุณจะสูญเสียลูกค้าไป อย่างน้อยที่สุดคนที่คุณสร้างความสัมพันธ์ในชุมชนเกิดขึ้นมาแล้ว ถึงจะมีร้านอะไรใหม่เข้ามา เขามีปัญหาอะไรเขาก็จะกลับมาหาคุณเอง

มันมีเส้นแบ่ง ซึ่งบางมาก ระหว่าง "หมอตี๋" กับ "หมอจริง" มันเหมือนเทพจะขึ้นชั้นพรหม แบ่งยากมาก จริงๆ แล้ว อาชีพอย่างท่านเจ้าของร้านขายยาทั้งหลาย สามารถที่จะแบ่งเบาภาระช่วยให้บรรดานายแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทำงานน้อยลงได้มาก แต่เภสัชกรขาดอยู่อย่างเดียวคือไม่ให้คนไข้แลบลิ้น ไม่ได้เจาะเลือด ฯลฯ แต่สมมุติฐานโรคขั้นพื้นฐาน เชื่อว่าคนที่เป็นเภสัชกร มีความรู้มากพอจากการศึกษา จากการสั่งสมมาจากรุ่นพ่อ รุ่นปู่ สามารถดูออกว่าโรคแบบไหนควรรับประทานยาชนิดใดที่จะหายจากโรค แต่การแนะนำยาให้คนไข้ไปนั้นก็ขึ้นอยู่คุณธรรมและจริยธรรมของคุณว่ายาที่มันถูกกว่าคุณภาพเหมือนกันน่าจะใช้ได้ แทนที่จะให้เขาจ่ายค่ายาที่แพงกว่าแต่คุณภาพเหมือนกัน แทนที่จะได้มาร์จินสูงกว่า คือไม่จำเป็นต้องเป็นยาราคาแพง แต่รักษาหายได้เหมือนกัน

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะไม่มีใครที่ไม่ชอบเงิน ก็เหมือนเตี่ยที่พูดกับผม(พ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว) บอกสนธิ ลื้อค้าขายอะไร ทำอะไรขอให้ทำนานๆ อย่าทำอะไรสั้นๆ พ่อพูดตลอดเวลาว่า “ศรัทธา”นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามวันข้ามคืน “ศรัทธา”ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูด “ศรัทธาและความเชื่อมั่น”เกิดขึ้นจากการกระทำที่คงเส้นคงวา เกิดขึ้นจากจิตใจที่งดงาม หากท่านเปลี่ยนสภาพของท่านสวมหมวกหลายๆ ใบหน่อย หมวกใบหนึ่งในฐานะพ่อค้าขายยา อีกใบหนึ่งคือมีความเมตตาอยากให้เขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อยากให้เขาหายจากการฟื้นไข้ หมวกอีกใบหนึ่งคือหมวกของคนซึ่งต้องการจะมีกำไร แต่เป็นกำไรระยะยาว หากทำได้อย่างนี้แล้ว ยิ่งใหญ่กว่าร้าน 7-11 ก็ทำอะไรร้านขายยาคุณไม่ได้

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสอน เป็นเรื่องของจิตวิญญาน ที่ต้องกลับไปทบทวน ลองทำดูไหม นี่เป็นการทำความดีประเภทหนึ่ง ท่านพระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามพวกเราไม่ให้รวย พระองค์ท่านส่งเสริมให้คนทำมาหากิน ยิ่งร่ำรวยเป็นคหบดีเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่พระองค์ท่านสอนให้รู้จักเอื้ออาทร เจือจานคนที่ยากไร้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องให้ยาเขาฟรี ของๆเรามีต้นทุน แต่เราจะให้ยาในราคาที่มีเหตุมีผลและรักษาไข้ได้เหมือนกัน

เพราะว่าคนที่เข้ามาซื้อยากับร้านขายยามีอยู่เพียงแค่ 3 เหตุผล คือ ร้านอยู่ใกล้ ไม่มีเวลามากพอและไม่มีปัญญาไปคลินิก เหตุผลสุดท้ายสำคัญที่สุด ยิ่งคนอยู่ตามอำเภอ หมู่บ้านนั้นมีรายได้น้อย คุณไม่ต้องให้ยาฟรีกับเขา เพียงแต่คุณให้ยาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม แทนที่จะให้ยาที่มีราคาแพงแต่มีคุณภาพเท่ากัน

ระหว่างยาแพงกับยาถูก จะทำให้ร้านขายยา ชมรมร้านขายยาอยู่ได้หรือไม่ ผมยังยืนยันว่าหากยาถูกจะทำให้ชมรมร้านขายยาอยู่ได้และอยู่ได้ดีด้วย

ยาที่มีราคาแพงในทุกวันนี้ เพราะว่าบริษัทยาต่างชาติเขาจดสิทธิบัตรให้ยามีราคาแพง จะเห็นได้ว่าสิ่งแรกที่การเจรจาการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับประเทศสหรัฐอเมริกา อเมริกาทุบโต๊ะก่อนคือ "สิทธิบัตร" ซึ่งตามหลักสากลแล้วสิทธิบัตรยาไม่เกิน 20 ปี พอพ้น 20 ปีแล้วใครจะผลิตก็ได้ไม่ห้ามกัน แต่อเมริกาเจรจาภายใต้เงื่อนไขว่าขอสิทธิบัตร 25 ปี หมายความว่าเขาต้องการทำมาหากินกับความเจ็บไข้ของคนไทยต่อเนื่องไปอีก 5 ปี ทั้งๆ ที่สิทธิการใช้ยาถูกเป็นสิทธิของคนทั้งโลก

ชมรมร้านขายยาเกิดขึ้น เพราะต้องการให้มีการรวมตัวร้านขายยาให้เป็นเอกภาพ สามัคคีกันเพื่อต่อรองกับบริษัทยา ไม่ให้รังแกร้านขายยามากเกินไป ความสามัคคีหรือความเป็นเอกภาพ คือหัวใจของชมรม ถึงเวลาแล้วที่ชมรมต้องรวมตัวกันให้แน่นกว่านี้ และถึงเวลาแล้วที่ร้านขายยาต้องเริ่มเรียนรู้องค์ความรู้ด้านตัวยาต่างๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านสมุนไพรไทย ไม่ใช่แค่สั่งยาเข้ามาแล้วเพื่อจะขายต่อเพียงอย่างเดียว"

นายสนธิกล่าวอีกว่าโดยสรุปแล้วสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับร้านขายยาในวันนี้ ประการแรกคือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในเรื่องของการขายยา เพิ่มมูลค่าของการขายยา แทนที่จะขาย เพื่อหวังกำไรอย่างเดียว คือยังหวังกำไรได้เหมือนเดิม แต่ยาบางประเภทกำไรน้อยกว่ายาบางประเภท แต่รักษาได้เหมือนกัน ก็ควรเลือกยาที่ราคาต่ำกว่าแต่มีคุณภาพให้กับคนไข้ สิ่งนี้ต้องยึดถือให้มั่น เพราะจะได้ใจคนในชุมชน

ประการที่สอง คนขายยาต้องพัฒนาใฝ่ศึกษา ขนขวายหาองค์ความรู้ใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะสรรพคุณตัวยาพื้นบ้าน สมุนไพรต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น หรือความรู้ด้านสุขภาพอื่นๆ เพื่อจะได้นำไปแนะนำหรือให้คำปรึกษากับคนที่เดินเข้าร้านยา ไม่จำเป็นต้องมุ่งขายยาที่มีอยู่ในร้านเพียงอย่างเดียว

ประการที่สาม สมาชิกชมรมร้านขายยาต้องสามัคคีกันไว้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อต่อรองกับบริษัทยาข้ามชาติไม่ให้มีอำนาจในธุรกิจยาเหนือกว่า สมาชิกชมรมร้านขายยาที่มีทั่วประเทศกว่า 7,500 รายนี้ ต้องร่วมมือต่อสู้ในเรื่องของสิทธิบัตรยา ไม่ให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่างต่างชาติ และประการสำคัญ คนขายยาต้องไม่ปฏิเสธภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะองค์ความรู้เรื่องของสมุนไพรมีคุณค่าที่สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าทางการค้าได้.


กำลังโหลดความคิดเห็น