xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ”แนะร้านขายยาตจว.รับมือค้าเสรี ปรับกระบวนทัศน์ใหม่/อย่ามุ่งแต่ผลกำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวขอนแก่น-“สนธิ”เตือนร้านขายยารับมือผลกระทบการเปิดเสรีการค้า แนะต้องปรับกระบวนทัศน์ใหม่ไม่มุ่งผลกำไรอย่างเดียว ไฝ่หาองค์ความรู้ใหม่โดยเฉพาะสมุนไพรไทยไกล้ตัว เชื่อหากทำให้ชุมชนศรัทธา ร้านขายยาไทยสู้บริษัทยาต่างชาติได้แน่

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานประชุมใหญ่ชมรมร้านขายยาแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่นวันนี้(8 พ.ค.)ถึงการรุกเข้ามาของระบบการค้าเสรีหรือโลกแห่งโลกาภิวัตน์ว่า ได้ทำลายกิจการร้านค้าของคนไทยไปนักต่อนัก แม้แต่ร้านกาแฟหรือโชห่วย ที่ถือเป็นเสมือนหนึ่งศูนย์รวมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือศูนย์กลางการวิพากษ์วิจารณ์ของคนในชุมชน แม้แต่ร้านขายยาในชุมชนเองก็กำลังจะถูกคุกคาม เป็นภาวะการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ คนที่อยู่ต่างจังหวัดอาจรู้สึกได้ช้ากว่าในกรุงเทพฯ

การค้ายุค”โลกาภิวัตน์”นั้นจะมีองค์ประกอบอยู่ 4 ส่วน องค์ประกอบแรกคือ Cross Cultural ซึ่งมีนัยค่อนข้างลึกซึ้งพอสมควร เป็นองค์ประกอบที่วัฒนธรรมต่างถิ่น วัฒนธรรมอื่นๆไหลเวียนข้ามไปมาซึ่งกันและกัน

ประการที่ 2 Diversity หรือความหลากหลาย ปริมาณสินค้าที่มีให้เลือกจำนวนมากในตลาด

ประการที่ 3 Networking คือการสร้างเครือข่ายให้เชื่อมโยงซึ่งกันไปอย่างต่อเนื่อง และประการสุดท้าย Interdependent การพึ่งพาซึ่งกันและกัน

กระแสโลกกระแสการค้าต่างอยู่ภายใต้ปัจจัย 4 หัวข้อนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว แม็คโคร โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ เซเว่น-อีเลฟเว่น ฯลฯ ต่างใช้เงื่อนไขทั้ง 4 ด้านมาทำการค้า เช่นกรณี Cross Cultural สินค้าในห้างฯเหล่านี้เป็นของฝรั่งต่างชาติหมด แต่มาอาศัยทำธุรกิจในเมืองไทย วัฒนธรรมการจัดร้าน การวางของ การทำบัญชี ก็เป็นระบบหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นำเข้ามา ขณะที่ Diversity เขาก็ทำได้ เช่นมุมหนึ่งของห้างแม็คโคร เขาสามารถจัดพื้นที่ขายเหล้า บุหรี่ได้ ส่วนอีกมุมหนึ่งก็เปิดเป็นร้านขายยาได้ เพราะเขาถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของ Diversity ส่วนร้านขายยาที่พวกเราคนไทยทำจะทำอย่างนั้นไม่ได้

นายสนธิกล่าวย้ำว่า ทั้ง Cross Cultural,Diversity, Networking และเ Interdependent ล้วนเป็นกติกาของโลกอันใหม่ที่มันรุกเข้ามาในประเทศไทย รุกเข้ามาในกิจการการค้าของไทย อย่างกรณีโชห่วย หรือร้านขายกาแฟในชุมชน เป็นตัวอย่างที่ได้รับผลกระทบจากการค้ายุคโลกาภิวัฒน์ ระบบโรงแรมหลายๆแห่งก็เรียบร้อยไปแล้ว เพราะหากเป็นเชนแล้ว หาลูกค้าได้ไม่ยาก เพราะทำตลาดเป็นระบบเชื่อมโยงกัน

อาจมีคำถามว่า ทำไมโรงแรมโซฟิเทลในขอนแก่นถึงมีลูกค้าฝรั่งเข้าพักอย่างต่อเนื่อง ก็เพราะเขาเป็นเชนของแอคคอร์ที่มีเครือข่ายการทำตลาดทั่วโลก ขณะที่โรงแรมโฆษะ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็ต้องพึ่งพาขายความเป็นไทยต่อไป

ธุรกิจร้านขายยาก็เช่นกัน ขณะนี้พวกเราเห็น WATSON เกิดขึ้นแล้ว และอีกไม่นานก็จะขยายสาขาไปถึงระดับอำเภอ เพราะฉะนั้นโอกาสที่ร้านขายยาของไทยจะอยู่ได้ ก็คือการสร้างสัมพันธ์กับชุมชนให้ลึกซึ้งและมากกว่าเดิม ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมากไปกว่าการยืนอยู่บนเคาท์เตอร์แล้ว ต้องปรับบทบาทใหม่มากกว่ามุ่งขายยาเพียงอย่างเดียว ต้องมีกระบวนการแนะนำ เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพให้กับคนที่เดินเข้ามาซื้อยา บทบาทใหม่เช่นนี้ต้องเกิด อย่าจัดยาและรับเงินเข้าเก๊ะแล้วพอถึงสิ้นเดือนมานั่งคิดบัญชีว่าเดือนนี้ได้กำไรเท่าไหร่

หากร้านขายยาร้านใดยังทำกันอย่างนี้ต่อไป วันหนึ่งข้างหน้าจะประสบปัญหาทางการค้า เพราะจะถูกพวกเซเว่น-อีเลฟเว่น วัตสันหรือดรักสโตร์ใหญ่ๆจากอเมริกามาบุก ซึ่งจะทะลุทะลวงทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ แล้ววันนั้นท่านจะแย่

แต่หากท่านผูกพันธ์กับชุมชน ให้คำแนะนำการดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้น ที่ไม่ได้มุ่งขายยาเพียงอย่างเดียว และเมื่อขายก็คิดกำไรไม่มากหรือแนะนำตัวยาใหม่ในประเภทเดียวกันที่มีคุณภาพไม่ต่างกันแต่ราคาต่ำกว่าให้กับลูกค้า ท่านจะได้รับความเชื่อมั่น คนในชุมชนจะเกิดความศรัทธา กิจการร้านขายยาของท่านจะอยู่ยั่งยืนได้นาน

อันที่จริงเภสัชกรสามารถที่จะแบ่งเบาภาระช่วยให้บรรดานายแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆทำงานน้อยลงได้มาก แต่เภสัชกรขาดอยู่อย่างเดียวคือไม่ให้คนไข้แลบลิ้น ไม่ได้เจาะเลือดฯลฯ แต่สมมุติฐานโรคขั้นพื้นฐาน เชื่อว่าคนที่เป็นเภสัชกร มีความรู้มากพอจากการศึกษาจากการสั่งสมมาจากรุ่นพ่อ รุ่นปู่ สามารถดูออกว่าโรคแบบไหนควรรับประทานยาชนิดใดที่จะหายจากโรค ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นยาราคาแพง แต่รักษาหายได้เหมือนกัน

“คนที่เข้ามาซื้อยากับร้านขายยามีอยู่เพียงแค่ 3 เหตุผล คือ ร้านอยู่ใกล้ ไม่มีเวลามากพอและไม่มีปัญญาไปคลินิก เหตุผลสุดท้ายสำคัญที่สุด ยิ่งคนอยู่ตามอำเภอ หมู่บ้านนั้นมีรายได้น้อย คุณไม่ต้องให้ยาฟรีกับเขา เพียงแต่คุณให้ยาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม แทนที่จะให้ยาที่มีราคาแพงแต่มีคุณภาพเท่ากัน”นายสนธิกล่าวและว่า

ยาที่มีราคาแพงในทุกวันนี้ เพราะว่าบริษัทยาต่างชาติเขาจดสิทธิบัตรให้ยามีราคาแพง จะเห็นได้ว่าสิ่งแรกที่การเจรจาการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับประเทศสหรัฐอเมริกา อเมริกาทุบโต๊ะก่อนคือ”สิทธิบัตร” ซึ่งตามหลักสากลแล้วสิทธิบัตรยาไม่เกิน 20 ปี พอพ้น 20 ปีแล้วใครจะผลิตก็ได้ไม่ห้ามกัน แต่อเมริกาเจรจาภายใต้เงื่อนไขว่าขอสิทธิบัตร 25 ปี หมายความว่าเขาต้องการทำมาหากินกับความเจ็บไข้ของคนไทยต่อเนื่องไปอีก 5 ปี ทั้งๆที่สิทธิการใช้ยาถูกเป็นสิทธิของคนทั้งโลก

ชมรมร้านขายยาเกิดขึ้น เพราะต้องการให้มีการรวมตัวร้านขายยาให้เป็นเอกภาพ สามัคคีกันเพื่อต่อรองกับบริษัทยา ไม่ให้รังแกร้านขายยามากเกินไป ความสามัคคีหรือความเป็นเอกภาพ คือหัวใจของชมรม ถึงเวลาแล้วที่ชมรมต้องรวมตัวกันให้แน่นกว่านี้ และถึงเวลาแล้วที่ร้านขายยาต้องเริ่มเรียนรู้องค์ความรู้ด้านตัวยาต่างๆให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านสมุนไพรไทย ไม่ใช่แค่สั่งยาเข้ามาแล้วเพื่อจะขายต่อเพียงอย่างเดียว

นายสนธิกล่าวอีกว่าโดยสรุปแล้วสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับร้านขายยาในวันนี้ ประการแรกคือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในเรื่องของการขายยา เพิ่มมูลค่าของการขายยา แทนที่จะขาย เพื่อหวังกำไรอย่างเดียว คือยังหวังกำไรได้เหมือนเดิม แต่ยาบางประเภทกำไรน้อยกว่ายาบางประเภท แต่รักษาได้เหมือนกัน ก็ควรเลือกยาที่ราคาต่ำกว่าแต่มีคุณภาพให้กับคนไข้ สิ่งนี้ต้องยึดถือให้มั่น เพราะจะได้ใจคนในชุมชน

ประการที่สอง คนขายยาต้องพัฒนาไฝ่ศึกษา ขนขวายหาองค์ความรู้ใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะสรรพคุณตัวยาพื้นบ้าน สมุนไพรต่างๆที่มีอยู่ในท้องถิ่นหรือความรู้ด้านสุขภาพอื่นๆ เพื่อจะได้นำไปแนะนำหรือให้คำปรึกษากับคนที่เดินเข้าร้านยา ไม่จำเป็นต้องมุ่งขายยาที่มีอยู่ในร้านเพียงอย่างเดียว

ประการที่สาม สมาชิกชมรมร้านขายยาต้องสามัคคีกันไว้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อต่อรองกับบริษัทยาข้ามชาติไม่ให้มีอำนาจในธุรกิจยาเหนือกว่า สมาชิกชมรมร้านขายยาที่มีทั่วประเทศกว่า 7,500 รายนี้ต้องร่วมมือต่อสู้ในเรื่องของสิทธิบัตรยา ไม่ให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่างต่างชาติ และประการสำคัญ คนขายยาต้องไม่ปฏิเสธภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะองค์ความรู้เรื่องของสมุนไพรมีคุณค่าที่สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าทางการค้าได้
กำลังโหลดความคิดเห็น