พะเยา - ส.ส.เขต 2 แนะนำเงิน SML ทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้และจำหน่ายในชุมชน หลังราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด ส่งผลปุ๋ยเคมีขึ้นราคาตามเป็นเงา พร้อมประกาศรับซื้อปุ๋ยอินทรีย์ที่เหลือทั้งหมดหากขายไม่ได้
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา เขต 2 พรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลทำโครงการ SML ขึ้นมาเพื่อกระจายเงินไปให้ทั่วถึงและครอบคลุมทุกจังหวัด ในส่วนของจังหวัดพะเยาเชื่อว่า ภายในเดือนเมษายน 2548 นี้ เงินจากโครงการ SML ก็จะกระจายลงครบทุกหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาชีพ ควรมีการพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งโดยเน้นการนำเงิน SMLมาต่อยอดการพัฒนาอาชีพให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะอาชีพการทำปุ๋ยอินทรีย์
ทั้งนี้ เนื่องจากโยบายจังหวัดได้เน้นและส่งเสริมการทำปุ๋ยอินทรีย์ทุกตำบล ดังนั้นเมื่อทุกหมู่บ้านมีเงินSML ควรนำมาทำอาชีพปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อใช้ในภาคเกษตรกรรมและจำหน่ายให้เกิดรายได้สู่ครอบครัว ชุมชน
นายวิสุทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ในสภาวะการณ์ที่น้ำมันมีราคาสูงขึ้น และคาดว่าจะขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน ดังนั้นปุ๋ยเคมีจะมีราคาสูงขึ้นตาม ด้วยการผลิตปุ๋ยเคมีใช้วัตถุดิบจากปิโตรเคมี ซึ่งมาจากกระบวนการผลิตน้ำมันเมื่อน้ำมันและปุ๋ยเป็นตัวแปรผันตามกัน ผู้ที่ได้รับผลกระทบ คือ ประชาชนทั้งภาคการผลิตและผู้บริโภค ดังนั้น ด้านหนึ่งคือการลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตรกรรม การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในภาคเกษตรกรรม ทำให้ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม ปรับปรุงคุณภาพดินให้ดีขึ้นด้วย
“สำหรับประชาชนในพื้นที่เขต 2 คือ อ.เชียงคำ อ.จุน และกิ่ง อ.ภูซาง ที่ผลิตปุ๋ยอินทรีย์หากผลิตใช้ในพื้นที่แล้วเหลือขาย ตนยินดีรับซื้ออย่างไม่จำกัด”
ด้านนายสุวิทย์ ปิ่นศักดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ภูซาง กิ่ง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ ต.ภูซาง พบการเปลี่ยนแปลงภายหลังที่มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักในภาคเกษตรกรรม ดินมีคุณภาพดีขึ้นร่วนซุย ไม่แข็ง พืชผลงดงาม ที่สำคัญไม่มีปัญหาความกังวลเรื่องสารเคมีหรือสารพิษตกค้าง ทั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงดินบ้าง แต่เพียง 2-3 ปี หลังจากนั้นดินก็จะอุดมสมบูรณ์
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา เขต 2 พรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลทำโครงการ SML ขึ้นมาเพื่อกระจายเงินไปให้ทั่วถึงและครอบคลุมทุกจังหวัด ในส่วนของจังหวัดพะเยาเชื่อว่า ภายในเดือนเมษายน 2548 นี้ เงินจากโครงการ SML ก็จะกระจายลงครบทุกหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาชีพ ควรมีการพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งโดยเน้นการนำเงิน SMLมาต่อยอดการพัฒนาอาชีพให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะอาชีพการทำปุ๋ยอินทรีย์
ทั้งนี้ เนื่องจากโยบายจังหวัดได้เน้นและส่งเสริมการทำปุ๋ยอินทรีย์ทุกตำบล ดังนั้นเมื่อทุกหมู่บ้านมีเงินSML ควรนำมาทำอาชีพปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อใช้ในภาคเกษตรกรรมและจำหน่ายให้เกิดรายได้สู่ครอบครัว ชุมชน
นายวิสุทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ในสภาวะการณ์ที่น้ำมันมีราคาสูงขึ้น และคาดว่าจะขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน ดังนั้นปุ๋ยเคมีจะมีราคาสูงขึ้นตาม ด้วยการผลิตปุ๋ยเคมีใช้วัตถุดิบจากปิโตรเคมี ซึ่งมาจากกระบวนการผลิตน้ำมันเมื่อน้ำมันและปุ๋ยเป็นตัวแปรผันตามกัน ผู้ที่ได้รับผลกระทบ คือ ประชาชนทั้งภาคการผลิตและผู้บริโภค ดังนั้น ด้านหนึ่งคือการลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตรกรรม การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในภาคเกษตรกรรม ทำให้ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม ปรับปรุงคุณภาพดินให้ดีขึ้นด้วย
“สำหรับประชาชนในพื้นที่เขต 2 คือ อ.เชียงคำ อ.จุน และกิ่ง อ.ภูซาง ที่ผลิตปุ๋ยอินทรีย์หากผลิตใช้ในพื้นที่แล้วเหลือขาย ตนยินดีรับซื้ออย่างไม่จำกัด”
ด้านนายสุวิทย์ ปิ่นศักดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ภูซาง กิ่ง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ ต.ภูซาง พบการเปลี่ยนแปลงภายหลังที่มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักในภาคเกษตรกรรม ดินมีคุณภาพดีขึ้นร่วนซุย ไม่แข็ง พืชผลงดงาม ที่สำคัญไม่มีปัญหาความกังวลเรื่องสารเคมีหรือสารพิษตกค้าง ทั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงดินบ้าง แต่เพียง 2-3 ปี หลังจากนั้นดินก็จะอุดมสมบูรณ์