ศูนย์ข่าวศรีราชา -เจ้าท่าฯเดินสายทำความเข้าใจผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยว ในตะวันออก หลังเกิดเหตุเรือล่มต่อเนื่อง เพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ระบุไว้
วันนี้ (17 ก.พ.) เรือตรีปรีชา เพชรวงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นประธานการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่เมืองพัทยา หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อชี้แจงถึงมาตรการ การอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ในการเดินทางทางน้ำในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ตามแผนการปฏิบัติการป้องกัน และบรรเทาอุบัติภัยทางน้ำ
การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ของกรมเจ้าที่ ในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อซักซ้อมความเข้าใจกับผู้ประกอบเรือท่องเที่ยว โดยในวันพรุ่งนี้ จะลงพื้นที่ระยอง จันทบุรีและตราด
เรือตรีปรีชา กล่าวว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงนี้พบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เดินทางเข้ามาพักผ่อนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิถล่มในพื้นที่ท่องเที่ยวในภาคใต้
ดังนั้นผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยว และเรือโดยสาร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐาน ในการอำนวยความสะดวกด้านการบริการและความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วม กับประเทศฝรั่งเศส ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำร่วมกัน กรมการขนส่งทางน้ำ จึงได้ดำเนินการชี้แจงและเสริมสร้างความเข้าใจ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผู้ประกอบการเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวในพื้นที่ทั่วประเทศ
เรือตรีปรีชา กล่าวต่อไปว่า สำหรับเมืองพัทยา ที่ผ่านมาพบว่า มีเรือที่เปิดให้บริการอยู่จำนวนกว่า 2,000 ลำ ส่วนใหญ่จะไม่เกิดอุบัติภัยทางทะเลมากนัก เนื่องจากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ อาทิ การทำทะเบียนเรือ การทำใบนายท้าย และการจัดเตรียมอุปกรณ์เสริมช่วยชีวิต
นอกจากนี้เมืองพัทยายังได้มีการจัดสร้างศูนย์กู้ภัยทางทะเลอย่างถาวรขึ้น ซึ่งพบว่ามีความพร้อมเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านของบุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ จนสามารถช่วยเหลือและส่งเสริมการป้องกันปัญหาอุบัติภัยทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือว่าเป็นต้นแบบที่จะส่งเสริมให้พื้นที่อื่นๆดำเนินการตาม
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาอยู่บ้างในด้านของการรับนักท่องเที่ยว เกินอัตราที่กำหนด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เกิดจากปริมาณที่รับได้จริง เพียงแต่แจ้งเรื่องขอไว้ในจำนวนน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสรรพากรเท่านั้น
ทางด้านนายสนิท บุญมาฉาย สมาชิกสภาเมืองพัทยา ในฐานะประธานชมรมเรือท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวว่า ปัญหาของเรือท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา ส่วนใหญ่จะเกิดจากข้อผิดพลาดของข้อกำหนดทางกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งพบว่าไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
อาทิ เรื่องของใบอนุญาตการเดินเรือ ที่มีข้อกำหนดให้นายท้าย ช่างเครื่อง และเด็กเรือ ต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ประกอบการจริง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ปฏิบัติได้ยาก ทั้งนี้เพราะเรือในเมืองพัทยาส่วนใหญ่เป็นเรือท่องเที่ยว จึงไม่สามารถสรรหาบุคลากรเข้ามาทำงาน ได้ตลอดอายุการใช้งานของเรือ โดยต้องการปรับเปลี่ยนโดยตลอดเพื่อความเหมาะสม
นอกจากนี้ข้อกำหนด ที่สั่งการให้เรือท่องเที่ยวและเรือโดยสารทุกลำ ต้องนำใบทะเบียนเรือและใบนายท้ายมาจัดแสดงไว้ในเรืออย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก เนื่องจากใบทะเบียนดังกล่าวถือเป็นใบสำคัญ หากนำมาแสดงไว้ในเรือเหล่านี้ก็อาจได้รับความเสียหาย เนื่องจากเป็นเรือขนาดเล็ก และเมื่อมีข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บางนาย ที่อนุญาตให้ถ่ายสำเนามาจัดแสดงได้ แต่ปรากฏว่า หน่วยงานอื่นๆอย่างตำรวจน้ำ ก็เข้ามาจับกุมดำเนินคดีเพราะถือว่ามีความผิด
นายสนิท กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้เรือท่องเที่ยว มีปัญหาเรื่องใบอนุญาต คงมีสาเหตุมาจากเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางน้ำในพื้นที่เป็นหลัก ที่ไม่อำนวยความสะดวก ในด้านของการดำเนินการของผู้ประกอบการ เนื่องจากมีการทำงานล่าช้าขาดความใส่ใจ เพราะหลังจากที่ผู้ประกอบการยื่นหนังสือขออนุญาตไปแล้ว น่าจะใช้เวลาการดำเนินงานประมาณ 3-7 วัน แต่ปรากฏว่า กลับนำเรื่องไปเก็บไว้นานกว่า 4-6 เดือนจึงจะทำให้ เมื่อผู้ประกอบการนำเรือออกใช้งาน ก็มักจะถูกหน่วยงานอื่นๆเข้าจับกุมบ่อยครั้ง
กรณีดังกล่าวที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ก็มักจะนำเรื่องไปขอเอกสารยังพื้นที่ข้างเคียงอื่นๆเช่น สำนักงานกรมการขนส่งทางน้ำชลบุรี หรือจังหวัดระยอง ซึ่งก็พบว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นก็สามารถออกใบอนุญาตทะเบียนเรือได้ จึงอยากให้ทำการแก้ไขเร่งด่วน
ในเรื่องนี้ ที่ประชุมในส่วนของกรมการขนส่งทางน้ำ ได้ชี้แจงว่า ปัญหาเหล่านี้กรมฯรับทราบเป็นอย่างดี และได้ปรับเปลี่ยนขั้นตอนต่างๆเพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วมากขึ้นแล้ว
สำหรับปัญหาเรื่องของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ คงต้องยอมรับว่ามีบางส่วนที่ปฏิบัติงานอย่างหละหลวมไปบ้าง ซึ่งจากนั้นคงจะต้องเพิ่มความเข้มงวดและกำชับมากขึ้น
วันนี้ (17 ก.พ.) เรือตรีปรีชา เพชรวงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นประธานการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่เมืองพัทยา หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อชี้แจงถึงมาตรการ การอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ในการเดินทางทางน้ำในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ตามแผนการปฏิบัติการป้องกัน และบรรเทาอุบัติภัยทางน้ำ
การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ของกรมเจ้าที่ ในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อซักซ้อมความเข้าใจกับผู้ประกอบเรือท่องเที่ยว โดยในวันพรุ่งนี้ จะลงพื้นที่ระยอง จันทบุรีและตราด
เรือตรีปรีชา กล่าวว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงนี้พบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เดินทางเข้ามาพักผ่อนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิถล่มในพื้นที่ท่องเที่ยวในภาคใต้
ดังนั้นผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยว และเรือโดยสาร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐาน ในการอำนวยความสะดวกด้านการบริการและความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วม กับประเทศฝรั่งเศส ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำร่วมกัน กรมการขนส่งทางน้ำ จึงได้ดำเนินการชี้แจงและเสริมสร้างความเข้าใจ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผู้ประกอบการเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวในพื้นที่ทั่วประเทศ
เรือตรีปรีชา กล่าวต่อไปว่า สำหรับเมืองพัทยา ที่ผ่านมาพบว่า มีเรือที่เปิดให้บริการอยู่จำนวนกว่า 2,000 ลำ ส่วนใหญ่จะไม่เกิดอุบัติภัยทางทะเลมากนัก เนื่องจากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ อาทิ การทำทะเบียนเรือ การทำใบนายท้าย และการจัดเตรียมอุปกรณ์เสริมช่วยชีวิต
นอกจากนี้เมืองพัทยายังได้มีการจัดสร้างศูนย์กู้ภัยทางทะเลอย่างถาวรขึ้น ซึ่งพบว่ามีความพร้อมเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านของบุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ จนสามารถช่วยเหลือและส่งเสริมการป้องกันปัญหาอุบัติภัยทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือว่าเป็นต้นแบบที่จะส่งเสริมให้พื้นที่อื่นๆดำเนินการตาม
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาอยู่บ้างในด้านของการรับนักท่องเที่ยว เกินอัตราที่กำหนด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เกิดจากปริมาณที่รับได้จริง เพียงแต่แจ้งเรื่องขอไว้ในจำนวนน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสรรพากรเท่านั้น
ทางด้านนายสนิท บุญมาฉาย สมาชิกสภาเมืองพัทยา ในฐานะประธานชมรมเรือท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวว่า ปัญหาของเรือท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา ส่วนใหญ่จะเกิดจากข้อผิดพลาดของข้อกำหนดทางกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งพบว่าไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
อาทิ เรื่องของใบอนุญาตการเดินเรือ ที่มีข้อกำหนดให้นายท้าย ช่างเครื่อง และเด็กเรือ ต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ประกอบการจริง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ปฏิบัติได้ยาก ทั้งนี้เพราะเรือในเมืองพัทยาส่วนใหญ่เป็นเรือท่องเที่ยว จึงไม่สามารถสรรหาบุคลากรเข้ามาทำงาน ได้ตลอดอายุการใช้งานของเรือ โดยต้องการปรับเปลี่ยนโดยตลอดเพื่อความเหมาะสม
นอกจากนี้ข้อกำหนด ที่สั่งการให้เรือท่องเที่ยวและเรือโดยสารทุกลำ ต้องนำใบทะเบียนเรือและใบนายท้ายมาจัดแสดงไว้ในเรืออย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก เนื่องจากใบทะเบียนดังกล่าวถือเป็นใบสำคัญ หากนำมาแสดงไว้ในเรือเหล่านี้ก็อาจได้รับความเสียหาย เนื่องจากเป็นเรือขนาดเล็ก และเมื่อมีข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บางนาย ที่อนุญาตให้ถ่ายสำเนามาจัดแสดงได้ แต่ปรากฏว่า หน่วยงานอื่นๆอย่างตำรวจน้ำ ก็เข้ามาจับกุมดำเนินคดีเพราะถือว่ามีความผิด
นายสนิท กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้เรือท่องเที่ยว มีปัญหาเรื่องใบอนุญาต คงมีสาเหตุมาจากเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางน้ำในพื้นที่เป็นหลัก ที่ไม่อำนวยความสะดวก ในด้านของการดำเนินการของผู้ประกอบการ เนื่องจากมีการทำงานล่าช้าขาดความใส่ใจ เพราะหลังจากที่ผู้ประกอบการยื่นหนังสือขออนุญาตไปแล้ว น่าจะใช้เวลาการดำเนินงานประมาณ 3-7 วัน แต่ปรากฏว่า กลับนำเรื่องไปเก็บไว้นานกว่า 4-6 เดือนจึงจะทำให้ เมื่อผู้ประกอบการนำเรือออกใช้งาน ก็มักจะถูกหน่วยงานอื่นๆเข้าจับกุมบ่อยครั้ง
กรณีดังกล่าวที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ก็มักจะนำเรื่องไปขอเอกสารยังพื้นที่ข้างเคียงอื่นๆเช่น สำนักงานกรมการขนส่งทางน้ำชลบุรี หรือจังหวัดระยอง ซึ่งก็พบว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นก็สามารถออกใบอนุญาตทะเบียนเรือได้ จึงอยากให้ทำการแก้ไขเร่งด่วน
ในเรื่องนี้ ที่ประชุมในส่วนของกรมการขนส่งทางน้ำ ได้ชี้แจงว่า ปัญหาเหล่านี้กรมฯรับทราบเป็นอย่างดี และได้ปรับเปลี่ยนขั้นตอนต่างๆเพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วมากขึ้นแล้ว
สำหรับปัญหาเรื่องของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ คงต้องยอมรับว่ามีบางส่วนที่ปฏิบัติงานอย่างหละหลวมไปบ้าง ซึ่งจากนั้นคงจะต้องเพิ่มความเข้มงวดและกำชับมากขึ้น