xs
xsm
sm
md
lg

“พล.อ.เปรม”ระบุปัญหาความยากจน เด็ก และคุณธรรมน่ากังวล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่- “พลเอกเปรม” ปาฐกถาพิเศษ “เมืองไทยที่ข้าพเจ้าห่วงใย” ชี้ “ความยากจน-เด็กเยาวชน-คุณธรรมจริยธรรม” เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดของประเทศในเวลานี้ แนะการแก้ยากจนต้องมอบ “การศึกษา-งาน-สุขภาพดี” ให้คนจนพร้อมกับความปรารถนาดีที่ จะแก้ไขปัญหา รับเอาใจช่วยรัฐบาลแก้ปัญหา 6 ปี ไม่มีคนจนแต่ห่วงแผนดีปฏิบัติไม่ได้

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เมืองไทยที่ข้าพเจ้าห่วงใย” ในงานกาลาดินเนอร์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยพายัพ ที่อาคารสายธารธรรม มหาวิทยาลัยพายัพ เขตแม่คาว จังหวัดเชียงใหม่

พลเอกเปรม กล่าวว่า ปัญหาที่น่าห่วงใยของประเทศไทยมีหลายเรื่อง แต่ปัญหาสำคัญและสมควรจะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วนตามความเห็นส่วนตัว คือ ปัญหาความยากจนของประชาชน ปัญหาเด็กและเยาวชน และปัญหาคุณธรรมและจริยธรรม ทั้งนี้ในส่วนของปัญหาความยกจน จะเห็นได้ว่าแม้ว่าเวลานี้ประเทศไทยจะก้าวจากประเทศด้อยพัฒนาในอดีต สู่การเป็นประเทศกำลังพัฒนาในปัจจุบัน แต่ความยากจนยังคงเป็นปัญหาของคนไทยอยู่อย่างเดิม

โดยที่ความยากจนถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่สุด ใหญ่ที่สุด เร่งด่วนที่สุด แต่แก้ไขยากที่สุด ซึ่งหากสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้แล้วจะส่งผลทำให้สามารถแก้ไขปัญหาอื่นๆ ได้ด้วย เนื่องจากความยากจนเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาการว่างงาน ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการไร้ที่อยู่อาศัย ปัญหาทางด้านการศึกษา เป็นต้น รวมทั้งความยากจน ยังทำให้ประชาชนยากที่จะเข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐได้ ซึ่งนำไปสู่การขาดความเสมอภาคทางสังคมด้วย

ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 2545 ที่รัฐบาลปัจจุบันประกาศจะทำสงครามกับความยากจน และจะทำให้คนไทยไม่ยากจนภายในเวลา 6 ปี โดยที่ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินการต่างๆ ไว้เป็นอย่างดีนั้น รู้สึกดีใจและภาวนาให้การดำเนินการนี้ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์เห็นว่า องค์กรทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชนของไทย มักจะมีความสามารถสูงในการวางแผน แต่ไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติเท่าที่ควร ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายมีความห่วงใย

สำหรับความเห็นส่วนตัวแล้วมองว่า การแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน จะต้องมอบของ 3 อย่างให้แก่คนยากจน คือ 1.การศึกษา 2.การมีงานทำ และ 3.การมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแต่สำคัญและจำเป็นจะต้องทำให้สำเร็จอย่างเร่งด่วนที่สุด ขณะเดียวกันในการแก้ไขปัญหานี้ ผู้ที่ทำงานในกรแก้ไขปัญหาจะต้องใช้ความรัก ความเอื้ออาทร และความปรารถนาดีในการทำงานแก้ไขปัญหาด้วย ไม่ได้เป็นการทำงานแต่เพียงเพราะได้รับการมอบหมายเท่านั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาย่อมจะอยู่ห่างไกลมาก

ขณะที่ในส่วนของปัญหาเด็กและเยาวชน พลเอกเปรม กล่าวว่า เด็กและเยาวชนถือเป็นอนาคตของชาติ เพราะเป็นผู้ที่จะเติบโตขึ้นไปเพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาประเทศชาติต่อไปในอนาคต ซึ่งการที่อนาคตจะดีได้จะต้องอาศัยการทำให้เด็กและเยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง

อย่างไรก็ตาม ภาวะของเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมีปัญหาที่ซับซ้อนรุนแรง เนื่องจากถูกเลี้ยงดูอยู่ท่ามกลางกระแสวัตถุนิยมและสิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ มากมาย แตกต่างจากในอดีตที่เด็กได้รับการหล่อหลอมเลี้ยงดูด้วยกระบวนการทางสังคมที่มีคุณภาพ

ดังนี้การให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชน จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยที่ในการให้การศึกษาแก่เด็กนั้นมีหลายองค์กรที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนที่มีความสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งคือ ครู ที่จะเป็นตัวแปรของความสำเร็จในทุกระดับ
โดยที่ ครู สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.ครูอาชีพ ที่เป็นครูโดยสายเลือดและจิตวิญญาณ พร้อมที่จะเสียสละให้แก่การสอนเด็ก และสถาบันอย่างสุดความสามารถ รักใคร่เอ็นดูเด็กเสมือนหนึ่งเป็นลูกของตัวเอง และ 2.อาชีพครู ที่ทำงานตามหน้าที่เพื่อรับเงินเดือนเท่านั้น โดยไม่สนใจถึงผลสัมฤทธิ์ของการเรียนการสอน ซึ่งได้แต่หวังและเอาใจช่วยว่าจะมีการผลิตบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นครูอาชีพให้ได้มากที่สุด

ส่วนปัญหาคุณธรรมและจริยธรรม พลเอกเปรม กล่าวว่า ประเทศไทยจะสามารถพัฒนา เจริญรุ่งเรืองมั่นคง และสงบร่มเย็นได้ โดยมีสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมีคุณธรรมและจริยธรรมของผู้บริหารทุกระดับ กล่าวคือหากผู้บริหารมีความสมบูรณ์พร้อมทางด้านคุณธรรมและจริยธรรมแล้วประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติจะตกอยู่กับประชาชน และประโยชน์ของประชาชนจะค่อยๆ ลดลงไปตามระดับความพร่องคุณธรรมและจริยธรรมของผู้บริหาร

ประธานองคมนตรี กล่าวว่า แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จะมีมาตราที่บัญญัติว่าด้วยเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม โดยการเน้นการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ด้วยการบังคับให้รัฐจัดทำมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างของรัฐ

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ยังคงมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การซื้อขายตำแหน่ง การฮั้วประมูล หรือการเลี่ยงภาษีให้เห็นอยู่

“การกำหนดมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ผู้นำองค์กรกำหนด แผนปฏิบัติการ ซึ่งผู้นำองค์กรควรจะต้องเป็นผู้ที่สะอาดเสียก่อน แผนที่กำหนดออกมจึงจะสะอาด อย่างไรก็ตามเมืองไทยเรามีข้อแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ ผู้ที่มีอำนาจออกกฎ ระเบียบต่างๆ มักจะถือว่าตัวเองได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบนั้นๆ โดยอัตโนมัติ” พลเอกเปรมกล่าว

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ประสิทธิภาพในการบังคับใช้รัฐธรรมนูญด้อยลงไป ยังเนื่องมาจากค่านิยมที่ไม่ถูกต้องของสังคมไทย เช่น การยกย่องคนรวยโดยไม่สนใจว่าทุจริตหรือไม่ การดูถูกคนจน แม้ว่าจะเป็นคนดีมีศีลธรรมมากกว่าคนรวย การเชื่อว่าคนที่มีระดับการศึกษาสูงเป็นคนเก่ง หรือการเกรงใจในสิ่งที่ไม่ควรจนทำให้ละเลยหลักการ หย่อนยานความซื่อสัตย์ สูญเสียความเป็นธรรม เป็นต้น

ด้วยค่านิยมเหล่านี้ ทำให้สังคมมีหลายมาตรฐานหรือไม่มีมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมเลย จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ทั้งปัญหาด้านสังคมและเศรษฐกิจ

ทั้งนี้พลเอกเปรมกล่าวว่า ปัญหาการประพฤติมิชอบ ฉ้อราษฎร์บังหลวง จะเป็นสิ่งที่คงอยู่กับประเทศไทยต่อไป จนกว่าจะสามารถผลักดันจิตสำนึกและวิญญาณของคนไทย ให้ตระหนักว่าระดับคุณธรรมและจริยธรรมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และจำเป็นในการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง ซึ่งในการสร้างจิตสำนึกพร้อมทั้งเลิกค่านิยมที่ไม่ถูกต้องนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง แต่เป็นสิ่งที่ยาก ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชนและระยะเวลา

อย่างไรก็ตามเห็นว่า วิธีการปลุกจิตสำนึกทางด้านคุณธรรมและจริยธรรมที่ดี ทางหนึ่ง คือ การที่ผู้บังคับบัญชาประพฤติตัวให้เป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความเชื่อถือศรัทธาและนำไปปฏิบัติต่อๆ กันไป ซึ่งวิธีการนี้ยืนยันว่า เป็นวิธีการที่ประสบผลสำเร็จมาแล้ว จากการปฏิบัติโดยส่วนตัว
กำลังโหลดความคิดเห็น