xs
xsm
sm
md
lg

"ทวีเดช" ผู้ปั้น"THE TROPICAL HOME"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่

ท่ามกลางสมรภูมิเดือด เรื่องของธุรกิจบ้านจัดสรรในเชียงใหม่ ที่แต่ละค่ายทั้งจากส่วนกลางและในท้องถิ่นเองต่างพากันมองว่า เชียงใหม่ ยังเป็นขุมทรัพย์ในเรื่องที่อยู่อาศัย แต่ละค่ายล้วนช่วงชิงหาที่ดินในทำเลทองต่าง ๆ รอบเมืองเชียงใหม่ โดยเฉพาะตามแนวถนนวงแหวนเกือบทุกรอบ

นอกจากการมองหาทำเล เพื่อเป็นจุดขายแล้ว ยังต้องฝ่าฟันมรสุม ที่กำลังจะรุมเร้า โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับภาวะราคาน้ำมันที่เป็นตัวฉุดให้ต้นทุนในการสร้างบ้านเตรียมพาเหรดกันขึ้นราคา

ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องปรับตัวและเตรียมรับมือกับทุกปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ทวีเดช อ้อมอารี ประธานกรรมการบริษัทเดอะ ทรอปิคอลโฮม (THE TROPICAL HOME) เจ้าของหมู่บ้านจัดสรรกว่า 6 โครงการในเชียงใหม่ นักธุรกิจวัยเพียง 30 ปีปลาย ๆ กลับไม่สะทกสะท้านกับปัญหาข้างหน้าพร้อมกับเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้บรรลุเป้าหมายในการนำพาบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีก 2 ปีข้างหน้าให้ได้

ทวีเดช หนุ่มนักธุรกิจจากอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน คนแม่สะเรียงแทบจะไม่มีใครรู้จักเพราะเกิดได้เพียง 1 เดือน ก็ต้องมาอยู่ที่เชียงใหม่ เพราะธุรกิจของทางบ้านมาเริ่มต้นที่เชียงใหม่กันหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมย่านตลาดวโรรส-ต้นลำไย หรือ ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ทำปั๊มน้ำมัน ค้าส่ง

ในที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดวโรรสครั้งใหญ่ ทำให้ครอบครัวอ้อมอารีแทบไม่เหลืออะไรเลย อีกทั้งมีหนี้สินพะรุงพะรัง จนต้องกลับไปอยู่ที่แม่สะเรียง

แต่โดยตัวของทวีเดช เองที่ถือว่ายังโชคดีที่เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 9 คน ที่ทุกคนเห็นพ้องว่าให้อยู่ที่เชียงใหม่เพื่อเรียนหนังสือต่อให้จบ

ทวีเดช เล่าให้ฟังว่า ช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่สาหัสที่สุด เพราะทางบ้านมีหนี้สินเยอะมาก ไปไหนมีแต่คนทวงถามเรื่องเงิน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะไม่มีจริง ๆ ซึ่งจุดนี้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้เราต้องเรียนให้จบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และต้องหางานทำให้ได้
หลังจากที่จบระดับปวส.เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตห้วยแก้วแล้ว เขาได้ศึกษาต่อด้านการบริหารธุรกิจต่างประเทศ ที่ประเทศสิงคโปร์ประมาณ 3 ปี พอกลับมาเชียงใหม่ก็เริ่มหางานทำทันทีเพราะธุรกิจทางบ้านเองก็ไม่มีอะไรมากมาย พี่ ๆ ทุกคนก็มีงานทำกันไปหมดแล้ว

หลากประสบการณ์งานขาย

นับตั้งแต่กลับจากสิงคโปร์มา แม้จะมีดีกรีว่าเป็นนักเรียนนอก แต่ก็ไม่ทำให้ทวีเดช ได้รับงานดี ๆ ทำเท่าไหร่นัก เริ่มจากการเป็นพนักงานโรงแรมด้วยเงินเดือน 2,500 บาท อยู่ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพนักงานขายเครื่องไม้แกะสลัก ให้กับนักท่องเที่ยวตามถนนท่าแพบ้าง สันกำแพงบ้างด้วยความที่ทางบ้านมีพื้นเพจากการทำไม้ที่แม่สะเรียง ทำให้ทวีเดชพอจะรู้ว่าไม้ชนิดใดมีคุณสมบัติอย่างไร

นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทวีเดช กลับไปแนะนำพี่ ๆ ของตัวเองว่าขายไม้ประเภทวงกบหน้าต่างประตู เพียงอย่างเดียวไม่ได้ น่าจะมีการดัดแปลงสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากกว่านี้ ด้วยการนำรูปแบบใหม่ ๆ มาใช้กับการประดับตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือ นำมาแกะสลักเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายได้อีกทางหนึ่ง แต่ทางบ้านเองไม่รับแนวคิดนี้ ทวีเดชเองเลยต้องกลับไปเป็นลูกจ้างขายของให้คนอื่นต่อไป

งานสุดท้ายของชีวิตลูกจ้าง ทวีเดช บอกเป็นอะไรที่สนุกมาก คือ การเป็นไกด์ทัวร์ ต้องเจอสารพัดรูปแบบของลูกทัวร์ จนสุดท้ายเกิดปัญหาอยู่ไม่ได้อีก

เพราะฟองสบู่แตก-ไฟแนนซ์ถูกปิด
ถึงได้เป็น "THE TROPICAL HOME"


นับเป็นโอกาสที่ดีในช่วงปี 2533 ถือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างตึกแถวอาคารพาณิชย์ หรือทาวน์เฮาส์ขาย ทวีเดช เล่าให้ฟังว่า เป็นเพราะพื้นฐานทางบ้านเอง ก็เป็นทั้งผู้รับเหมาและค้าวัสดุก่อสร้าง ด้วยจึงคำนวณออกว่า หากจะสร้างทาวน์เฮาส์ขายต้นทุนน่าจะอยู่ที่เท่าไหร่

หลังจากที่คุยกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนมีที่ดินอยู่แถว ๆ ตรงข้ามวัดเจ็ดยอดอยู่แปลงหนึ่งก็เลยขอเงินแม่มา 3 แสน ร่วมหุ้นกับเพื่อนสร้างทาวน์เฮาส์จำนวน 6 ยูนิต หลังจากที่สร้างเสร็จก็ขายหมดเกลี้ยง ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนได้กำไรมา 2-3 ล้านบาท

จากนั้นก็นำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดินเปล่าแถว ๆ อำเภอหางดง สร้างบ้านเดี่ยว6-7 หลัง ทาวน์เฮาส์ 22 ยูนิต หลังจากนั้นก็ขยายไปซื้อที่ดินที่อื่นไปเรื่อย ๆ ทั้งโครงการคันทรีปาร์ค ที่มีที่ดินอยู่ 35 ไร่ 100 กว่าแปลง ซึ่งเป็นที่ดินเปล่าก็ขายหมดเกลี้ยง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน หรือแม้กระทั่งหมู่บ้านสันทรายปาร์ค 22 ไร่ ภายใน 4 เดือนก็ขายหมด

ทวีเดช เล่าให้ฟังอีกว่า จนกระทั่งช่วงปี 39-40 จากผลกำไรที่ได้มาในแต่ละโครงการ จึงเริ่มหาซื้อที่ดินที่มีขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นโครงการหมู่บ้านทวีโชค ย่านอำเภอดอยสะเก็ดพื้นที่ทั้งหมด 70 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นแปลงแรกที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่ทำมาเป็นบ้านพร้อมที่ดินปัจจุบันขยายเป็น 260 ไร่ 500 ยูนิต

ช่วงที่กำลังสร้างพร้อมกับทำการตลาดไป ก็มีลูกค้าทยอยจองเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนั้นเราก็อยู่ในระหว่างการยื่นขอกู้เงิน เพื่อไปชำระค่าที่ดินรวมทั้งค่าก่อสร้างด้วย แต่จนแล้วจนรอด สถาบันการเงินที่เราไปยื่นไว้แต่ละแห่งก็บ่ายเบี่ยงบ้าง บ้างก็ให้รอไปก่อน จนสุดท้ายสถาบันการเงินบางแห่งล้มไฟแนนซ์ถูกปิด ฟองสบู่แตก เราเองก็หาแหล่งทุนไม่ได้ กลุ่มที่เคยเข้ามาร่วมหุ้นก็เลิกไป เพราะเขาก็ประสบปัญหาเหมือนกัน

สุดท้ายต้องหาทางออก ด้วยการช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการสร้างไปขายไป เสร็จ 1 หลังก็โอนเข้าธนาคาร 1หลัง พอได้เงินมาก็ไปสร้างต่อ เมื่อลูกค้าเองเห็นว่า เงินของเขาไม่สูญ และเห็นว่าเราสร้างบ้านเสร็จตามสัญญาความเชื่อมั่นต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งเข้ามาขอดูโฉนดที่ดินว่าเรามีให้เขาจริงหรือเปล่าโอนได้จริงหรือไม่อะไรทำนองนี้ ช่วงนั้นโครงการอื่น ๆ ประสบปัญหาอย่างมากแต่ของเรากลับขายดีเฉลี่ยเดือนละ 10-20 หลัง

" จริง ๆ แล้วตอนนั้นหลายคนก็มองอยู่เหมือนกันว่าเรามาจากไหน เอาแหล่งทุนที่ไหนมาทั้ง ๆ ที่เกิดวิกฤตทั่วประเทศมีน้อยรายมาก ที่จะทำต่อไปได้ เพราะส่วนใหญ่ก็ชะลอหรือไม่ก็หยุดชะงักไปเลย "

หอบเงินสด ๆ ซื้อที่ดิน
6 โครงการ7ทำเลทอง

ทวีเดช เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ"ทวีโชค" แล้วเราก็เริ่มมองหาทำเลใหม่ ๆ เพื่อทำโครงการต่อไป และถือเป็นโชคดีที่เราได้ที่ดินแต่ละแปลงมา ส่วนใหญ่จะเป็นทำเลที่ดีที่สุดของเชียงใหม่ในขณะนี้ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ตามวงแหวนรอบกลาง ที่สะดวกสบายกับการเดินทางที่สุด

และเป็นเพราะช่วงนั้น การซื้อขายที่ดินค่อนข้างเคลื่อนไหวน้อยมาก คนขายต้องการขายแต่ไม่มีคนซื้อ จึงถือเป็นโอกาสที่ดี ที่ดินทั้งหมดจดในชื่อบริษัท THE TROPICAL HOME

" เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ ก็มักจะถามว่ากล้าซื้อก็กล้าขายแต่ต้องจ่ายสด เราเองต้องการที่ดินอยู่แล้ว และราคาก็อยู่ในระดับที่ซื้อได้เราจึงซื้อไว้ และเริ่มนำมาเปิดทีละโครงการ"

โดยโครงการรีเจนท์ 1 อยู่บริเวณถนนเชียงใหม่-ดอยสะเก็ดจำนวน 20 ไร่ ราคาบ้านอยู่ระหว่าง 2-3 ล้าน ปัจจุบันขยายเป็น 160 ไร่ , รีเจนท์ 2 บริเวณถนนสันทรายเก่า จำนวน 60 ไร่, รีเจนท์ 3 ย่านถนนดอนจั่น-สันกำแพง 70 ไร่ ,โครงการเอมเพอเรอ 1 ย่านถนนคันคลองชลประทาน จำนวน 50 ไร่ ,โครงการเอมเพอเรอ 2 ย่านถนนวงแหวนรอบกลางสันทรายเก่า จำนวน 50 ไร่ และหมู่บ้านทวีโชคที่ยังเปิดขายต่อเนื่องหลังจากที่ขยายพื้นที่ออกไปอีก

ทวีเดช กล่าวถึงสถานการณ์ในขณะนี้ที่ราคาน้ำมันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างจะต้องขึ้นอย่างแน่นอน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ขึ้นไปแล้ว ตอนนี้เราได้ทำหนังสือติดต่อไปยังลูกค้าที่ทำสัญญาจองบ้านไว้ว่า เราจะเร่งสร้างบ้านให้เสร็จก่อนสัญญาที่เซ็นไว้ เพื่อให้ลูกค้ามารีบโอนเข้าธนาคาร โดยจะไม่มีผลกระทบกับเงินดาวน์แต่อย่างใด

ในส่วนของผู้รับเหมาเอง เราก็จะช่วยเหลือในส่วนของราคาวัสดุก่อสร้าง ที่ต้องไม่เกิน 5 %เป็นต้น นอกจากทางด้านการตลาด ช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังจะขึ้นเราก็มีโปรโมชั่นอุปกรณ์ตกแต่งบ้านเสริมเข้าไปให้กับลูกค้า ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีผลกับยอดขายเท่าไหร่นัก

2 ปี เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์

ทวีเดช กล่าวว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าอีก 2 ปีข้างหน้าจะสามารถนำTHE TROPICAL HOME เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ด้วยตอนนี้ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาทก็ชำระเต็มไปแล้ว ฉะนั้นหลังจากนี้ไป คงต้องเป็นเรื่องของการบริหาร เพราะเราไม่ได้หวังที่จะเป็นเพียงผู้ทำโครงการบ้านจัดสรรขายเท่านั้น แต่ในเรื่องบริหารหลังการขาย ก็จะต้องเน้นในเรื่องของคุณภาพเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เพราะธุรกิจนี้การขายไม่ได้จบลงหลังจากโอนเข้าธนาคารแล้วเท่านั้น ประกอบกับเราเองมีหลายโครงการ ฉะนั้นหากไม่มีคุณภาพในเรื่องของการบริการโครงการอื่น ๆ ของเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

ในส่วนของพนักงานเอง ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานประจำของบริษัทไม่ใช่ฟรีแลนซ์ โดยจะเน้นระบบค่าคอมมิชชั่นเป็นการตอบแทน นอกเหนือจากเงินเดือนประจำแล้ว และขณะนี้ได้เน้นในเรื่องการกำหนดยอดขาย ที่แต่ก่อนจะกำหนดเป็นปี แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นการกำหนดแต่ละไตรมาส ทั้งนี้จะต้องแข่งกับเวลา และเพื่อให้พนักงานขายได้เห็นตัวเลขไวขึ้น

ที่สำคัญเราได้เตรียมปรับระบบการบริหารให้ชัดเจนมากขึ้น โดยจะให้ผู้จัดการของแต่ละโครงการ เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารของตัวเอง ซึ่งอาจจะกำหนดวิธีการทำตลาดเอง บริหารค่าใช้จ่ายเอง โดยบริษัทจะเป็นพี่เลี้ยงอยู่เบื้องหลัง

ทิศทางบ้านเชียงใหม่ยังไปโลด

สำหรับแนวโน้มราคาบ้านจัดสรร ทวีเดช มองว่าอนาคตราคาบ้านจัดสรรในเชียงใหม่ที่พอจะขายได้ในเวลาอันรวดเร็วนั้นน่าจะอยู่ระหว่าง 8 แสนบาทถึง 3 ล้านบาท หากราคาสูงกว่านั้น คาดว่าอาจจะขายยากขึ้น รูปแบบการสร้างบ้านของบริษัทจะเน้นรูปแบบจากส่วนกลาง โดยไม่ได้คำนึงว่าจะต้องนำทรัพยากรธรรมชาติของเชียงใหม่มาเป็นจุดขาย เพราะอย่างน้อยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนในพื้นที่ เมื่อมีฐานะดีขึ้นก็ต้องการที่จะอยู่หมู่บ้านที่มีความทันสมัยขึ้นมากกว่า

สิ่งที่น่าจับตาดูต่อไป คงจะต้องมองว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของคนท้องถิ่น จะสามารถเข้าไปเฉิดฉายอยู่บนกระดานของตลาดหลักทรัพย์ เป็นเจ้าแรกได้หรือไม่?????

กำลังโหลดความคิดเห็น