อุบลราชธานี-เต็นท์รถมือสองโอดราคาน้ำมันทำยอดขายในกลุ่มรถยนต์นั่งลดฮวบ ซ้ำยังเจอมาตรการลดภาษีรถใหม่ ยิ่งทำเต็นท์รถกระทบหนัก วิตกหากน้ำมันยังพุ่งไม่หยุดลูกค้าเงินผ่อนอาจตัดใจทิ้งรถให้ไฟแนนซ์ยึด
จากภาวะราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ซึ่งปรับราคาขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยมีราคาจำหน่ายลิตรละกว่า 20 บาท ทำให้เต็นท์จำหน่ายรถยนต์นั่ง ซึ่งใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง ต้องพบกับปัญหาการทำธุรกิจ เพราะประชาชนเตรียมทิ้งรถให้ไฟแนนซ์ยึด
นายวัชรินทร์ วิจิตรกลาง ผู้จัดการ 3 คิงส์ออโต้คาร์กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เดิมทางเต็นท์สามารถจำหน่ายรถยนต์นั่งเดือนละกว่า 15-20 คัน แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมสามารถขายรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันเบนซินได้ไม่ถึง 10 คัน
แม้จะใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาเงินดาวน์ และจัดไฟแนนซ์ให้ผ่อนระยะยาว แต่ลูกค้าที่มาดูรถไม่ตัดสินใจซื้อ เพราะหวั่นกับราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอีก
โดยเฉพาะในกลุ่มรถที่ใช้เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบสูงที่กินน้ำมันมาก แม้ลดราคาขายลงจากเดิมคันละ 10,000-15,000 บาท แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ จึงต้องแบกรับภาระรถที่ขายไม่ออกไว้หลายสิบคันและทางเต็นท์ได้ชะลอการสั่งซื้อรถยนต์นั่งชุดใหม่ไว้ทั้งหมดเพื่อปรับตัวหันมาค้ารถกระบะที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงแทน
ผู้จัดการ 3 คิงส์ออโต้คาร์กล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น นอกจากกระทบกับยอดการจำหน่ายรถมือสองแล้วกรณีที่รัฐบาลทำการปรับราคาภาษีรถใหม่ลดลงอีกประมาณคันละ 10,000 บาท ทำให้ราคารถในกลุ่มรถมือสอง ต้องพากันปรับราคาจำหน่ายลดลงอีกเพื่อหนีช่องว่างเรื่องความห่างของราคาขายไว้
อย่างไรก็ดี เรื่องของจิตวิทยาราคาน้ำมันที่ยังไม่แน่นอนทำให้ประชาชนที่ซื้อรถไปแล้วชะลอการชำระค่างวดรถ เพื่อรอดูทิศทางราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันยังไม่นิ่งและมีราคาปรับสูงขึ้นอีก เชื่อว่าผู้ซื้อรถจะตัดสินใจทิ้งรถ ไม่ผ่อนชำระค่างวด ยอมปล่อยให้ไฟแนนซ์มายึดรถคืนไป
ผู้จัดการเต็นท์รถมือสองกล่าวต่อว่า สัญญาณบอกเหตุที่สำคัญอีกประการคือ มีการนำรถที่ใกล้หมดค่างวดมาขอทำรีไฟแนนซ์ใหม่ ซึ่งการทำรีไฟแนนซ์มองได้ 2 ทางคือ เจ้าของรถต้องการนำเงินไปใช้ลงทุนประกอบกิจการ หรือเจ้าของรถเตรียมทิ้งรถให้ถูกยึดทันทีที่ราคาน้ำมันขึ้นสูงสุด จนผู้ใช้รถไม่อาจใช้ยานพาหนะนี้ได้ต่อไป
จึงอยากให้รัฐบาลมีความชัดเจนเรื่องราคาน้ำมัน เพราะทำให้เกิดการชะงักในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการน้ำมันเชื้อเพลิงมานานนับเดือนแล้ว
จากภาวะราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ซึ่งปรับราคาขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยมีราคาจำหน่ายลิตรละกว่า 20 บาท ทำให้เต็นท์จำหน่ายรถยนต์นั่ง ซึ่งใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง ต้องพบกับปัญหาการทำธุรกิจ เพราะประชาชนเตรียมทิ้งรถให้ไฟแนนซ์ยึด
นายวัชรินทร์ วิจิตรกลาง ผู้จัดการ 3 คิงส์ออโต้คาร์กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เดิมทางเต็นท์สามารถจำหน่ายรถยนต์นั่งเดือนละกว่า 15-20 คัน แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมสามารถขายรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันเบนซินได้ไม่ถึง 10 คัน
แม้จะใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาเงินดาวน์ และจัดไฟแนนซ์ให้ผ่อนระยะยาว แต่ลูกค้าที่มาดูรถไม่ตัดสินใจซื้อ เพราะหวั่นกับราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอีก
โดยเฉพาะในกลุ่มรถที่ใช้เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบสูงที่กินน้ำมันมาก แม้ลดราคาขายลงจากเดิมคันละ 10,000-15,000 บาท แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ จึงต้องแบกรับภาระรถที่ขายไม่ออกไว้หลายสิบคันและทางเต็นท์ได้ชะลอการสั่งซื้อรถยนต์นั่งชุดใหม่ไว้ทั้งหมดเพื่อปรับตัวหันมาค้ารถกระบะที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงแทน
ผู้จัดการ 3 คิงส์ออโต้คาร์กล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น นอกจากกระทบกับยอดการจำหน่ายรถมือสองแล้วกรณีที่รัฐบาลทำการปรับราคาภาษีรถใหม่ลดลงอีกประมาณคันละ 10,000 บาท ทำให้ราคารถในกลุ่มรถมือสอง ต้องพากันปรับราคาจำหน่ายลดลงอีกเพื่อหนีช่องว่างเรื่องความห่างของราคาขายไว้
อย่างไรก็ดี เรื่องของจิตวิทยาราคาน้ำมันที่ยังไม่แน่นอนทำให้ประชาชนที่ซื้อรถไปแล้วชะลอการชำระค่างวดรถ เพื่อรอดูทิศทางราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันยังไม่นิ่งและมีราคาปรับสูงขึ้นอีก เชื่อว่าผู้ซื้อรถจะตัดสินใจทิ้งรถ ไม่ผ่อนชำระค่างวด ยอมปล่อยให้ไฟแนนซ์มายึดรถคืนไป
ผู้จัดการเต็นท์รถมือสองกล่าวต่อว่า สัญญาณบอกเหตุที่สำคัญอีกประการคือ มีการนำรถที่ใกล้หมดค่างวดมาขอทำรีไฟแนนซ์ใหม่ ซึ่งการทำรีไฟแนนซ์มองได้ 2 ทางคือ เจ้าของรถต้องการนำเงินไปใช้ลงทุนประกอบกิจการ หรือเจ้าของรถเตรียมทิ้งรถให้ถูกยึดทันทีที่ราคาน้ำมันขึ้นสูงสุด จนผู้ใช้รถไม่อาจใช้ยานพาหนะนี้ได้ต่อไป
จึงอยากให้รัฐบาลมีความชัดเจนเรื่องราคาน้ำมัน เพราะทำให้เกิดการชะงักในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการน้ำมันเชื้อเพลิงมานานนับเดือนแล้ว